วันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2558

แบ็กแพ็คเที่ยวเจแปนใสๆ ไม่ง้อทัวร์ วันที่ 1 โอไดบะ สะพาน Rainbow Bridge ปิดท้ายด้วยออนเซ็น

สวัสดีค่ะ จริงๆ แล้วติ๊ดไปเที่ยวญี่ปุ่นมาตั้งแต่วันที่ 16-20 กรกฎาคม ที่ผ่านมานี้แล้วค่ะ แต่ว่ายังไม่มีโอกาสได้เล่าเรื่องซักที ตอนแรกลูกพี่ลูกน้องที่ไปด้วยจะทำรีวิวลงพันทิป แต่พอไปถึงเกิดอาการขี้เกียจทำขึ้นมา ก็เลยไม่ค่อยได้ถ่ายรูปบรรยากาศสำหรับลงรีวิวเท่าไหร่ 555555 แต่ว่าติ๊ดมีจดค่าใช้จ่ายที่ใช้ในแต่ละวันไว้ หวังว่าจะมีประโยชน์กับคนที่อยากจะลองไปเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเองบ้าง เดี๋ยวส่วนของค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่จำเป็นจะสรุปลงแยกอีกบล็อกไว้ให้นะคะ เพราะคิดว่าน่าจะเล่าเรื่องยาวอยู่ อาจจะมีภาพประกอบน้อยไปนิด แต่ก็หวังว่าทุกคนจะสนุกกับการอ่านนะคะ


ที่มาที่ไปของทริปนี้คือ แพร์ เป็นลูกพี่ลูกน้องของติ๊ดที่อายุเท่ากันเนี่ยแหละเป็นคนชวนไป จริงๆ แล้วตอนแรกแพร์ชวนไปเกาหลี แต่เนื่องจากมีข่าวเชื้อไวรัสเมอร์สกำลังระบาดพอดี ประจวบกับมีโปรไปญี่ปุ่นของ Airasia X พอดี ก็เลยได้เปลี่ยนแผนมาเป็นประเทศญี่ปุ่น

การไปครั้งนี้เป็นการไปกันเองแค่ 2 คน จองตั๋วไปกลับพร้อมที่พัก 3 คืน (บินคืนวันที่ 16 ถึงเช้าวันที่ 17 เริ่มเที่ยวเลย) ราคาตกคนละประมาณ 15000-16000 บาทประมาณนี้ค่ะ

ภาษาที่ใช้ในการเล่าขอเป็นภาษาเหมือนเล่าให้เพื่อนฟังละกันเนอะ จะได้รู้สึกเป็นกันเอง

- - - - - - - - - - -

เริ่มต้นด้วยการเตรียมตัวไป สำหรับทริปนี้เป็นทริป 4 วัน 3 คืนเน้นประหยัด ไปแค่ในโตเกียว ส่วนใหญ่การจัดกระเป๋าก็คือเน้นของใช้ที่จำเป็น ลุยๆ บ้าง มีพร็อพเช่นพวกเครื่องสำอาง อุปกรณ์เสริมสวยอีกนิดหน่อย (เช่น คอนแทกเลนส์ ที่ดัดผม) คุณแม่แลกเงินให้ไป 70,000 เยน

พอถึงคืนวันที่ 16 ก็เริ่มออกเดินทางด้วยเที่ยวบิน XJ600  เบาะที่นั่งสบายดี แต่ไม่เหมาะสำหรับการนอนอย่างยิ่ง =..= ปกติแล้วเราเป็นคนหลับยากมากกกกกก ยิ่งมาเจอแบบนี้แล้ว พูดได้เลยว่าตลอดเวลา 5-6 ชม.ที่อยู่บนเครื่องบิน ไม่ได้นอนเลย พอเครื่องลงจอดที่สนามบินนาริตะ ประเทศญี่ปุ่น ตอนประมาณ 8 โมงก็เที่ยวต่อเลย

สิ่งที่กลัวที่สุดก่อนไปญี่ปุ่นคือ ตม. เพราะได้ยินมาว่า ตม. ที่ญี่ปุ่นค่อนข้างเข้มงวดอยู่เหมือนกัน ยิ่งอ่านรีวิวในพันทิปแล้วเจอคนไปเกาหลีแต่ถูกส่งกลับไทยยิ่งจิตตกไปกันใหญ่ ที่บ้านก็กังวลเรื่องนี้กันมาก เราเลยเตรียมเอกสารไปพร้อมเลยทั้งการจองตั๋วไปกลับ เอกสารที่พัก และใบรับรองสถานภาพการเป็นนักศึกษา สรุปแล้วพอมาถึงจริงๆ กลายเป็นว่าใช้เวลาไม่ถึง 5 นาทีก็ผ่าน ตม.มาได้อย่างสบายๆ (แล้วตูเตรียมเอกสารมาเยอะแยะทำไมฟร้ะ!?!)

หลังจากผ่านตม.มาแล้วก็เริ่มเที่ยวกันเล้ยยยย 2 สาวหน้าใสจะสามารถเอาชีวิตรอดในญี่ปุ่นได้หรือไม่ ภาษาญี่ปุ่นก็พูดไม่ได้ ภาษาอังกฤษก็ไม่ค่อยแข็งแรง 55555 แล้วคือไปเที่ยวแบบไม่มีแบบแผนมากอะ ตอนแรกกะว่าจะตามรอยไกด์บุ๊ค แต่พอมาถึงจริงๆ ไม่ได้ทำตามซักอย่าง 55555


พอผ่านตม.จัดการทุกอย่างในสนามบินเรียบร้อยก็ไปซื้อตั๋วรสบัสสำหรับเข้าโตเกียว โดยซื้อเป็นของ Keisei Line  ค่ารถคนละ 1000 เยน นั่งประมาณ 1 ชม.นิดๆก็ถึงโตเกียวละ บอกได้เลยว่า หลับตลอดทาง 555555 เหนื่อยมาก

ระหว่างรอรถบัสที่สนามบิน แรดไปอี๊กกกกกก 55555

พอมาถึงปุ๊บฝนก็ตกปั๊บเลย โชคดีที่พกร่มมากัน ถึงโตเกียวประมาณเกือบ 10 โมงไม่รู้จะทำอะไรดี โรงแรมก็เช็คอินตั้งบ่าย 2 เลยกะไปเดินเล่นแถวๆ โรงแรมก่อน โรงแรมอยู่แถวชินจูกุค่ะ (สถานี Yotsuya-Sanchome) พอจะไปชินจูกุก็หลง หาสถานีรถไฟไม่เจออีก โชคดีที่เรา 2 คนหารกันเช่า pocket wifi ไว้ ก็เดินๆ ตาม GPS กันไป สักพักเริ่มงง ยืนมองแผนที่ตามทางเดินกันอยู่นาน ก็มีรปภ.เดินเข้ามาให้ความช่วยเหลือ ถามเราว่าจะไปไหนกัน บอกทางไปสถานีรถไฟให้ ประทับใจตรงนี้มาก แต่สิ่งที่เป็นอุปสรรคคือ ภาษาอังกฤษสำเนียงญี่ปุ่นซึ่งฟังยากมากกกก กว่าจะฟังกันเข้าใจก็ใช้เวลานิดนึง

พอเดินตามทางที่รปภ.บอกมาเรื่อยๆ แอบไกลอยู่เหมือนกันประมาณเกือบกิโลได้ ระหว่างทางก็มีร้านอาหารเต็มไปหมดยิ่งกระตุ้นความหิวขึ้นมาอีก แต่ก็กะว่าไปกินแถวๆโรงแรมดีกว่า จนกระทั่งเราได้ขึ้นรถไฟฟ้า ตื่นเต้นมาก จำไม่ได้แล้วว่าขึ้นจากสถานีไหนไปลงตรงไหนบ้าง 5555 สายรถไฟฟ้าที่นี่เยอะมาก ประมาณไม่เกิน 20 นาทีก็มาถึงสถานี Yotsuya-Sanchome ซึ่งที่อยู่ของโรงแรม


ในเว็บของ Airasia go บอกไว้ว่าโรงแรมอยู่ไม่ไกลจากสถานี เดิน 5 นาทีถึง แต่เดินหาไม่เจอกัน ข้ามฝั่งไปๆ มาๆ เลยหาอะไรกินแถวๆ นั้นก่อนแล้วค่อยหาโรงแรม ซึ่งอาหารมื้อแรกของเราก็เป็นร้านแบบกดตรงตู้เอาค่ะ เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปตู้ไว้ ตอนไปกดก็งงๆ คิดว่าต้องเลือกเมนูก่อนแล้วค่อยหยอดเหรียญอะไรประมาณนั้น แถมเมนูในตู้ก็เป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งหมด ไม่มีภาษาอังกฤษให้เลย T3T ยืนงงกันอยู่นานพนักงานเหมือนจะรู้เลยเดินเข้ามาช่วย บอกว่ามันต้องใส่เงินก่อนถึงจะกดเลือกเมนูได้ นี่ก็ขำกันเลยจ้า รู้สึกเหมือนบ้านนอกเข้ากรุง 555555 พอกดเลือกเมนูเสร็จก็จะมีบัตรอาหารออกมาจากตู้พร้อมเงินทอน เอาบัตรไปยื่นให้พนักงานร้านแล้วก็นั่งสวยๆ รออาหารมื้อแรกของเราได้เลย

ที่ติ๊ดสั่งเป็นคัทสึด้งค่ะ มีให้เลือก 3 ไซส์ เล็ก กลาง ใหญ่ ติ๊ดสั่งเป้นไซส์เล็กสุดเพราะเป็นคนกินน้อย ราคา 390 เยนเอง ถือว่าถูกมากนะถ้าเทียบกับราคาร้านอาหารญี่ปุ่นในไทย อาหารมื้อแรกที่นี่ถือว่าประทับใจมาก พอได้กินเข้าไปแล้วลืมรสชาติที่ร้านอาหารญี่ปุ่นในไทยไปได้เลย มันช่างแตกต่าง รสชาติที่นี่เข้มข้นมาก ราคาโอเคกว่าร้านอาหารญี่ปุ่นในไทยด้วย ประทับใจสุดๆ T3T

อาหารมื้อแรกในญี่ปุ่น คัทสึด้งพร้อมกับชาเขียวเย็นๆ ในราคา 390 เยน ชาหอมงาคั่วมากๆ อร่อย  >_<

พอกินอาหารมื้อแรกเสร็จก็เดินเล่นอยู่แป๊บนึงจนเที่ยงครึ่งก็เดินหาโรงแรมกันต่อ สรุปโรงแรมอยู่ใกล้ๆ สถานีมาก แต่เราเดินออกมาผิดทาง 55555 มันต้องออกทางออก 2 แต่เราดันไปออกทางออก 1 กัน โรงแรมที่เราจองไว้คือ Hotel Wing International Premium Tokyo Yotsuya (ชื่อยาวมากกกก) ไปถึงก่อนเวลาแต่ก็เช็คอินได้ ห้องพักเล็กไปนิดแต่จัดสรรพื้นที่ได้ดีค่ะ อยู่สบายนะ ไม่อึดอัด

พอเช็คอินเสร็จก็มานั่งปรึกษากันว่าวันแรกนี้จะไปไหนก่อนดี จริงๆผิดแผนมาตั้งแต่ออกจากสนามบินแล้ว 5555 แพร์ให้ความเห็นว่าเดินทางมาเหนื่อยมากอยากไปแช่ออนเซ็น ก็เลยตกลงกันว่าจะไปแถวโอไดบะ เพราะออนเซ็นอยู่แถวนั้น กะว่าเดินเล่นกันแล้วก็ไปแช่ออนเซ็นกันให้สบายตัวก่อนกลับ

พอตกลงกันเรียบร้อยก็ออกเดินทางจากโรงแรมไปโอไดบะ ไปเดินดู Rainbow Bridge วิวข้างบนสวยมาก แต่ลมแรงไปนิด แล้วสะพานก็ยาวมากในระดับที่ว่า ลงมาถึงอีกฝั่งนี่หน้าเหนียวผมเหนียวกันเลยทีเดียว (สะพานมีความยาวประมาณ 1.5 กิโลเมตร) เสียดายที่มือถือเรากล้องเลนส์ร้าวเลยไม่ได้ถ่ายรูปมา รูปวิวส่วนใหญ่แพร์จะเป็นคนถ่าย

แพร์กับเราบน Rainbow Bridge ลมแรงมั้ยดูได้จากทรงผม 55555
เดินมาถึงอีกฝั่งของสะพานแล้วก็ไปเดินเล่นตรงทะเลแถวๆนั้น จำชื่อหาดไม่ได้ง่ะ (ส่วนมากแพร์จะเป็นคนหาข้อมูลพวกสถานที่ต่างๆ รวมถึงวิธีการเดินทาง ส่วนเราก็ตามๆเค้าไป 5555) ได้กลิ่นทะเลหอมๆ ยืนดื่มด่ำถ่ายรูปอยู่แถวนั้นประมาณครึ่งชม.ก็เดินไปหาออนเซ็นต่อ ระหว่างทางก็หาซื้อซาลาเปาชีสในแฟมิลี่มาร์ท มานั่งกินกันอยู่แถวๆ ชิงช้าสวรรค์เฟอริส (Ferris Wheel) แถวนั้นห้างเยอะมากแต่ไม่ได้เข้าไปเดินเล่นข้างในเพราะตอนนั้นก็ 5 โมงเย็นแล้ว ซาลาเปาอร่อยมากกกก แต่ไม่ได้ถ่ายรูปไว้ ><

หาดโอไดบะ ชายหาดแถวๆ สะพาน Rainbow Brigde

ใกล้ๆ ชิงช้าสวรรค์เฟอริส จุดที่เรานั่งกินซาลาเปากัน

พอกินซาลาเปาเสร็จก็เดินหาออนเซ็นกันต่อ ในแผนที่ดูเหมือนจะไม่ไกล แต่เอาจริงๆแแล้วเดินไกลมากกก เกือบจะหลงกันหลายที รู้สึกได้เลยว่าเดินเป็นกิโล พึ่งมารู้ทีหลังว่านั่งรถไฟฟ้ามาลงสถานีใกล้ๆได้ กว่าจะไปถึงออนเซ็นก็ 6 โมงเย็นแล้ว ออนเซ็นที่เราไปกันคือ Ooedo Onsen Monogatari

ด้านหน้า Ooedo Onsen Monogatari

พอเข้าไปข้างในจะมีล็อคเกอร์สำหรับใส่รองเท้า โดยล็อคเกอร์ที่ว่างอยู่จะมีกุญแจเสียบไว้ตรงตู้ค่ะ เอารองเท้าไปใส่ข้างในแล้วก็ล็อค แล้วดึงกุญแจออกมา ออนเซ็นที่นี่จะให้เราแช่ก่อนแล้วค่อยมาคิดเงินตอนกลับค่ะ พอเก็บรองเท้าเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เดินไปเลือกชุดยูคาตะกับสีโอบิที่ต้องการ มีลายให้เลือกเยอะมาก เลือกเสร็จก็รับชุดจากเจ้าหน้าที่ไปที่ห้องแต่งตัว เราต้องเปลี่ยนเป็นชุดยูคาตะโดยที่ถอดเสื้อผ้ารวมถึงเสื้อชั้นในอะไรงี้หมด ห้องแต่งตัวจะแยกชายหญิงนะคะ

พอเปลี่ยนชุดเสร็จก็จะเข้าไปอีกห้อง เป็นโซนที่จัดเหมือนงานวัดญี่ปุ่น มีร้านอาหาร มีซุ้มของที่ระลึกอยู่เต็มไปหมด ให้บรรยากาศเหมือนงานวัดจริงๆ รู้สึกตื่นเต้นมาก พอเข้าไปโซนนี้แล้วก็เดินเล่นกันยาว 5555 พอเดินเล่นจนพอใจก็ไปเข้าในส่วนของห้องอาบน้ำ ในโซนงานวัดจะรวมชายหญิงนะ แต่พอเข้าห้องอาบน้ำจะแยกชายหญิงเหมือนเดิม

ตอนอยู่ในห้องแต่งตัวกับห้องอาบน้ำเค้าห้ามถ่ายรูป เลยขอเล่าบรรยากาศให้ฟังแทน ตอนเข้าไปถึงห้องแต่งตัวอีกห้องที่มีล็อคเกอร์สำหรับเก็บชุดยูคาตะก่อนเข้าห้องอาบน้ำ มาถึงก็สะพรึงเลยจ้า ห้องนี่เต็มไปด้วยสาวญี่ปุ่นแก้ผ้าล่อนจ้อนเดินไปเดินมาแบบปกติมาก เรากับแพร์กันมามองหน้ากันแบบ ..... สตั๊นแป๊บบบ แบบ นี่พวกตูต้องแก้ผ้าแบบนั้นด้วยใช่มั้ย 55555 ตกใจเดินพุ่งเข้าล็อคเกอร์อย่างรวดเร็วจนพนักงานต้องเดินตามเอาผ้าขนหนูมาให้ 55555 ตอนแรกก็อายๆแหละ ซักพักแบบชั่งมัน ถอดแว่นก็ไม่เห็นใครแล้ว 5555

ผ้าขนหนูที่ได้มาจะมีแบบผืนเล็กกับผืนใหญ่ แต่ตอนลงแช่เอาไปได้แค่ผืนเล็กเท่านั้น เราเลยได้เห็นภาพที่แบบ สาวญี่ปุ่นบางคนและสาวต่างชาติเอาผ้าผืนเล็กๆนั่นแหละปิดตัวเดินไปเดินมา 5555 สนุกสนาน พอเข้าไปในห้องอาบน้ำจะมีโซนสำหรับให้เราอาบน้ำล้างตัวก่อนลงแช่น้ำ เพื่อสุขอนามัยที่ดี พออาบเสร็จก็ลงไปแช่ได้ตามสบายจ้าาา มีหลายบ่อให้เลือกทั้งในร่มและกลางแจ้ง บ่อกลางแจ้งบรรยากาศดีมากและน้ำไม่ร้อนเท่าข้างใน แต่เราเริ่มแช่จากบ่อด้านในก่อน แค่แว๊บแรกที่เอาเท้าลงไปสัมผัสกับน้ำนี่แบบอื้อหื้อออออออว์ ร้อนได้อีก พอเท้าเริ่มค่อยๆปรับได้ก็ลงไปครึ่งตัว ความรู้สึกเหมือนโดนลวกง่ะ 5555 คือมันร้อนมาก แต่พอแช่ไปซักพักก็รู้สึกสบายตัวดี หายเมื่อยไปเยอะเลยจากที่เดินมาทั้งวัน

หลังจากแช่น้ำจนสบายตัวแล้วก็มาอาบน้ำล้างตัวอีกที ตรงโซนอาบน้ำมีพวกสบู่ แชมพู ครีมนวดผมให้ครบเลย ดีจัง > < นี่ก็ใช้ของฟรีคุ้มเลยจ้าาาา 55555 อาบน้ำล้างตัวเสร็จก็เข้ามาเช็ดตัวในห้องแต่งตัวแล้วรีบใส่ชุดยูคาตะอย่างรวดเร็ว ในห้องแต่งตัวมีไดร์เป่าผมกับเซรั่มสำหรับใส่ผมไว้ให้ด้วย พอเป่าผมจนเสร็จก็ทาโลชั่นและครีมบำรุงผิวหน้าที่เค้ามีให้ใช้ฟรี รู้สึกประทับใจจัง คุ้มค่ากับเงิน 1980 เยนที่จะต้องจ่าย พอแต่งตัวทาครีมเสร็จก็เดินเล่นในโซนงานวัด แชะรูปตัวเองในชุดยูคาตะกันซักนิดก่อนกลับโรงแรม มีชาให้ดื่มฟรีด้วย หอมอร่อย > < พอเดินเล่นจนพอใจก็รีบไปจ่ายเงินเพราะดึกแล้ว

แพร์และเราในชุดยูคาตะหลังแช่ออนเซ็นแล้ว
กว่าจะจ่ายเงินเสร็จก็ปาเข้าไป 3 ทุ่มแล้ว เลยนั่งรถไฟฟ้าจากสถานี Telecom Center ที่ใกล้ที่สุดไปลงที่ Yotsuya-Sanchome เหมือนเดิม กลับมาถึงโรงแรมประมาณ 4 ทุ่ม แวะหาอะไรกินแถวโรงแรมก่อนกลับขึ้นห้อง เลือกเป็นร้านราเม็ง พนักงานในร้านพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย แต่ก็ดูพยายามจะพูดสื่อสารกับเรา น่ารักดี ตอนสั่งเมนูก็มีแต่ภาษาอังกฤษ เราก็เลยสั่งโดยจิ้มๆ รูปเอา ราเม็งจำได้ว่าราคาประมาณ 700 เยน ชามใหญ่มาก ใหญ่แบบเรากินได้ 3 มื้อ แต่ด้วยความเกรงใจก็เลยต้องกินให้หมด T3T ดันสั่งเกี๊ยวซ่ามาด้วยอีกก็เลยต้องพยายามช่วยกันกิน สุดท้ายก็กินเกี๊ยวซ่าจนหมด ราเม็งเหลือเส้นไว้นิดหน่อยไม่ให้พอน่าเกลียด

ราเม็งชามโต 770 เยน พร้อมชาดื่มฟรี เห็นเกี๊ยวซ่าที่แอบไหม้รำไรๆ

กลับมาถึงโรงแรมก็อาบน้ำ นั่งเม้ากันนิดหน่อยก่อนจะเข้านอน ก็เป็นอันจบวันแรกของทริปนี้

- - - - - - - - - -

รู้สึกว่าบล็อกยาวมากกกกก 555555 เดี๋ยวอีก 3 วันที่เหลือจะมาต่อนะคะ พอดีติดงานนิดหน่อย > < สามารถคอมเม้นแลกเปลี่ยนข้อมูล หรือแย้งข้อมูลอะไรที่เขียนผิดได้ค่ะ เพราะตอนมาศึกษาข้อมูลมาน้อยจริงๆ อาจจะมีหลงๆบ้าง หรือสงสัยอะไรก็สอบถามได้เลยนะคะ แล้วพบกันใหม่ในบล็อกหน้าค่ะ ^u^

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น