วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2558

DIY มาทำยางมัดผมง่ายๆใช้เองกันนนน

สวัสดีค่าาา สำหรับวันนี้จะมาทำฮาวทู การทำยางมัดผมจากเศษผ้าแบบง่ายๆกัน

เนื่องจากเวลาทำสมุดแฮนด์เมดขาย จะมีเศษผ้าที่เป็นมุมผ้าเหลือเยอะมากกกก เก็บไว้จนเต็มกล่องคุกกี้ ไม่รู้ว่าจะเอามาทำอะไรดี อาทิตย์ก่อนยางรัดผมขาดพอดี ก็เลยทำใช้ใหม่ซะเลย

ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณวิธีทำจากหนังสือ Sew sew ของพี่ลินนาด้วยค่ะ


- - - - - - - - - - -
มาเริ่มกันเลยดีกว่า... :3

อุปกรณ์

ยางยืดเส้นเล็กกว้าง 0.5 ซม. ความยาวประมาณ 7-8 นิ้วกำลังดี (ตอนที่ติ๊ดทำในรูปใช้ยางยืดยาวแค่ 6 นิ้วพอออกมาจริงๆ สั้นไปนิดนึง มัดลำบาก)
เศษผ้าลายที่ต้องการ (ถ้าเป็นผ้ารูปสี่เหลี่ยมจะทำง่ายมากๆเลย)
จักรเย็บผ้า
เข็มและด้าย

สำหรับจักรเย็บผ้าใครไม่มีเย็บมือได้เลยค่ะ แต่อาจจะต้องใช้เวลานิดนึงน้าาา
ถึงจะมีจักรแต่ตอนเย็บปิดก็ต้องเย็บมือน้าา เพราะฉะนั้นเข็มกับด้ายขาดไม่ได้เลย


- - -

1. เริ่มจากนำเศษผ้าแต่ละชิ้นมาเย็บติดกันให้เป็นรูปสี่เหลี่ยม โดยหันผ้าด้านถูกเข้าหากัน (ถ้าเศษผ้าของใครเป็นรูปสี่เหลี่ยมแล้วให้ข้ามขั้นตอนนี้ไปได้เลยนะคะ)



พอเย็บติดกันแล้วจะออกมาเป็นแบบนี้


เย็บเสร็จแล้วรีดให้เรียบร้อย
อาจตัดเก็บขอบเพื่อความสวยงามด้วย (แต่เอาจริงๆ มันก็มองไม่เห็นอยู่ละ 55555)

เศษผ้าก่อนรีด (สังเกตดีๆมีเย็บผิดด้านคู่นึง 5555 ไม่เป็นไร ทำใช้เอง)

รีดเสร็จแล้ววว

ตัดเก็บขอบให้เรียบร้อย แลดูสวยงาม


2. เมื่อได้ผ้ารูปสี่เหลี่ยมแล้ว นำผ้าแต่ละชิ้นมาเย็บต่อกันเป็นสายยาว


3. พับครึ่งหันหน้าถูกเข้าหากัน เย็บติดกันให้เรียบร้อย

สภาพด้านในมันอาจจะดูยับเยิน แต่เดี๋ยวพอกลับข้างออกมาแล้วมันจะโอเคแก เชื่อเรา 55555


4. พลิกด้านถูกออกมา ใส่ยางยืดเข้าไป ขั้นตอนนี้ถ้าใครมีกิ๊บดำช่วยใส่จะสะดวกมากค่ะ เราไม่มีขั้นตอนนี้เลยค่อนข้างทุลักทุเลพอสมควร 5555 พอใส่ยางยืดแล้วมัดปมให้เรียบร้อย (มัดแน่นๆน้าาา)

มัดปมยางยืดเรียบร้อย

5. เย็บปิดและเก็บส่วนที่ไม่เรียบร้อยด้วยเข็มกับด้าย

เย็บปิดงานและเก็บรายละเอียด


เสร็จแล้ววววว ~ ~ ~



- - -

สรุปแล้วพอเสร็จออกมากปรากฎว่ายางยืดกับตัวผ้าสั้นไปนิดนึง ทำให้มัดยาก ไม่เป็นไร ทำใหม่ได้เรื่อยๆ 5555 ใครที่มีเศษผ้าลายน่ารักๆ ยางมัดผมก็จะออกมาเก๋มากๆ เลยน้าาา

สำหรับบล็อกหน้าจะพาไปกินอะไรหรือจะพามาทำอะไรสนุกๆ อีก รอติดตามกันน้าา

สำหรับบล็อกนี้ลากันไปด้วยภาพติ๊ดเองกับยางมัดผมเส้นใหม่ ที่พอทำเสร็จก็ถามตัวเองว่าไปซื้อหน้ามอง่ายกว่ามั้ย 5555 โห่วววว มันต้องง่ายดิ ทำเองเลือกลายเองได้ เก๋จะตาย (ปลอบใจตัวเอง) 5555


ลองเอาไปทำตามกันดูนะคะ ไม่ยากเลยเนอะ ใครทำออกมาเป็นยังไง ส่งมาอวดกันมั่งน้าาาา หรือใครลองทำแล้วมีปัญหาติดขัดตรงไหนถามได้เลยนะคะ แล้วพบกันใหม่ในบล็อกหน้านะคะ สวัสดีค่าาา <3

วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2558

รีวิวโยเกิร์ตรสน้ำผึ้งออกใหม่

เห่นโล่ววววววว หลังจากที่ดองบล็อกไปนาน 55555 วันนี้มารีวิวของกินกันนนน
ตอนนี้จะเห็นมีโยเกิร์ตรสน้ำผึ้งใหม่ 2 ยี่ห้อ  ปกติติ๊ดจะชอบเอาโยเกิร์ตรสธรรมชาติมาผสมน้ำผึ้งกินเองอยู่แล้ว และกินโยเกิร์ตรสธรรมชาติของทั้ง 2 ยี่ห้อนี้สลับกันเป็นประจำ พอเห็นมีโยเกิร์ตรสน้ำผึ้งออกมาก็เลยต้องขอลองซะหน่อย ว่าจะสามารถเอาชนะใจแฟนโยเกิร์ตน้ำผึ้งอย่างเราได้หรือไม่ 555555



เริ่มที่โยเกิร์ตที่เจมส์จิเป็นพรีเซนเตอร์ก่อนเลย  เมจิบัลแกเรีย รสน้ำผึ้ง มาดูหน้าตาของมันกันก่อน


ข้อมูลโภชนาการ

ส่วนผสม

เนื้อโยเกิร์ตแบบคงตัว

ตัวนี้เนื้อโยเกิร์ตจะเป็นแบบคงตัว ตามสไตล์เมจิบัลแกเรียเค้าล่ะ สีจะออกเหลืองๆ กว่ารสธรรมชาตินิดๆ รสชาติพอใช้ได้อยู่ อมเปรี้ยวนิดๆ ได้กลิ่นน้ำผึ้งชัดเจนดี แต่รู้สึกว่ามันหวานแปลกๆ ไม่หวานน้ำผึ้งแท้ซะทีเดียว ถ้าดูจากส่วนผสมจะเห็นได้ว่าในส่วนผสมมีน้ำผึ้งแค่ 1% เท่านั้น ส่วนความหวานได้มาจากน้ำตาลอีก 8% แหนะ
สำหรับเมจิบัลแกเรียให้ 7/10 หักคะแนนที่รสชาติหวานปะแล่มๆ และคุณหลอกดาวว่าไขมันต่ำ แต่น้ำตาลนี้อื้อหือออออ~ อลังการ ใครที่กำลังลดน้ำหนักอยู่ก็ดูฉลากให้ดีๆ ก่อนซื้อนะ


มาต่อกันที่ฝ่ายน้ำเงินนน (ก็น้ำเงินทั้ง 2 ถ้วยไม่ใช่เรอะ 5555) โยเกิร์ตดัชชี่ กรีกโยเกิร์ต รสน้ำผึ้ง มาดูหน้าตาของมันกัน


ส่วนผสมและข้อมูลโภชนาการ


จากตารางโภชนาการดูแล้วจะค่อนข้างใกล้เคียงกับเมจิบัลแกเรีย แตกต่างตรงที่ดัชชี่มีปริมาณน้ำตาล 9 กรัม ในขณะที่เมจิบัลแกเรียมี 14 กรัม
เนื้อโยเกิร์ตเป็นเนื้อครีมคล้ายกับโยเกิร์ตปกติทั่วไป แต่ตัวนี้จะมีความหนืดข้นมากกว่านิดหน่อย สีเหลืองอ่อนๆ  รสชาติไม่หวาน แต่ไม่เปรี้ยวเหมือนโยเกิร์ตรสธรรมชาติ ออกจืดๆ อะว่างั้นเถอะ รสน้ำผึ้งจางมากกกกกกก แอบเสียใจตรงนี้  พอกลับมาอ่านฉลากอีกทีก็พบว่า มันคือโยเกิร์ตกลิ่นน้ำผึ้ง เออ...ก็ถูกของเค้า แค่กลิ่นจริงๆ รสชาติไม่ได้เลย 555555
สำหรับดัชชี่ กรีกโยเกิร์ตให้ 6/10 พอ รสชาติพอกินได้ น้ำตาลไม่เยอะจนน่ากลัว



สรุปแล้วโยเกิร์ตทั้ง 2 ตัวนี้มีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน อยากได้รสชาติที่ดี(กว่า)ก็ต้องแลกมาด้วยปริมาณน้ำตาลที่เยอะขึ้น อยากได้แคลอรี่ไม่น่ากลัวมากเหมาะสำหรับคนลดน้ำหนักก็ต้องยอมทานแบบที่รสชาติไม่จัด เมจิบัลแกเรียก็ใช้ได้นะ รสชาติไม่เหมือนอ้วกแช่แข็งแบบรสธรรมชาติ (แต่ถามว่ากินมั้ย? ก็กิน 555555)  หรือใครที่ไม่ชอบโยเกิร์ตรสธรรมชาติ ดัชชี่เป็นตัวเลือกที่ไม่เลวค่ะ แต่สำหรับติ๊ดแล้ว ขอกลับไปซื้อโยเกิร์ตมาผสมน้ำผึ้งเองเหมือนเดิมดีกว่า 555555 กลิ่นสะใจกว่าเยอะ ยังไงใครชอบแบบไหนก็ลองเลือกดูนะคะ

ส่วนบล็อกหน้าจะหาของกินอร่อยๆ  หรือกิจกรรมอะไรสนุกๆ มาลงกัน รอติดตามกันด้วยน้าาาา ♡

วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2558

สมุดแฮนด์เมด

สวัสดีค่าาา วันนี้ที่ม.ติ๊ดเปิดเทอมเป็นวันที่สอง บวกกับช่วงนี้มีรับงานมาทำอยู่ด้วย ไม่มีเวลาทำของแฮนด์เมดสนุกๆ ลงบล็อกเลย วันนี้เลยอยากจะลงของแฮนด์เมดที่ปกติทำใช้เองอยู่แล้ว แล้วก็ทำขายด้วย นั่นก็คือสมุดแฮนด์เมดค่ะ



ติ๊ดเป็นคนที่ชอบเขียนชอบจดบันทึกมากๆ ทั้งไดอารี่ รายรับรายจ่าย เขียนนิยาย วาดรูปเล่น สเกตช์งาน หรือบางทีก็แต่งเพลง สมุดบันทึกเลยเป็นสิ่งนึงที่ขาดไม่ได้เลย แต่จะให้ซื้อหลายๆ เล่มหรือว่าซื้อบ่อยๆ ก็แพงใช่มั้ยคะ แถมบางทีที่มีขายก็ไม่ถูกใจ ก็เลยตัดปัญหาด้วยการทำใช้เองซะเลย เลือกลายปก เลือกกระดาษเองได้ด้วย จะทำใช้กี่เล่มก็ได้ เล่มนึงมีกี่หน้าก็ได้ตามใจเรา

ปกติติ๊ดจะทำของแฮนด์เมดใช้เองเป็นประจำอยู่แล้ว ทั้งเย็บกระเป๋า ตัดเสื้อแบบง่ายๆ แก้ทรงเสื้อด้วยตัวเอง ถักตุ๊กตาห้อยพวงกุญแจ เดี๋ยวไว้จะมาทยอยลงให้ดูบล็อกต่อๆ ไปนะคะ



จุดเริ่มต้นของการทำสมุดแฮนด์เมดใช้เองมาจากเพื่อนค่ะ มีเพื่อนในกลุ่มคนนึงซื้อสมุดแฮนด์เมดมาใช้แล้วมันน่ารักมากๆ ถามเค้าว่าซื้อมาเท่าไหร่ เค้าบอกซื้อมา 350 บาท ซึ่งมันแอบแพงสำหรับเราเหมือนกันนะถ้าต้องเก็บเงินเอง เพราะตอนนั้นยังหาเงินเองไม่ได้ ก็เลยไปหาในเน็ตดูว่าสมุดที่เย็บแบบนี้เค้าเรียกว่าอะไร มีวิธีทำยังไง จนได้พบว่ามันคือการเย็บแบบ Coptic มีเว็บและแชแนลยูทูปของเมืองนอกหลายเว็บมากที่สอนเย็บ

หลังจากนั้นก็ไปซื้ออุปกรณ์มาลองเย็บดู ปรากฎว่าออกมาน่ารักมากๆ แถมตอนทำก็เพลินดี เลยลองทำขายซะเลย จนตอนนี้ยึดเป็นอาชีพเสริมไปแล้ว เรียกได้ว่าขายของจนเพื่อนหนีกันเลยทีเดียว หอบไปขายเพื่อนทั้งสาขา อาจารย์ก็ไม่เว้น 55555555

ใครสนใจสมุดแฮนด์เมดน่ารักๆ ลองตามไปดูเพิ่มเติมที่แฟนเพจ Hobbymade
หรือ Instagram : @hobbymade ได้นะคะ







นอกจากเย็บสมุดขายแล้ว ตอนนี้คิดว่าอยากขายเสื้อนะ 55555 แต่เย็บเองขายเองคงไม่ไหวเพราะไม่มีจักรโพ้ง จะทำแต่ละตัวก็ใช้ขั้นตอนเยอะ แถมไม่ค่อยมั่นใจเซ้นส์ด้านแฟชั่นของตัวเองเท่าไหร่ ถ้าจะทำคงต้องไปเรียนแบบเป็นเรื่องเป็นราว ต้องจ้างตัด แล้วก็ต้องหาทุนอีก ตอนนี้เลยเป็นแค่โครงการที่คิดไว้

ตอนนี้ปิ๊งไอเดียจะทำของใช้จากเศษผ้าและของเหลือใช้ที่มีอยู่ค่ะ เพราะอยากได้ของบางอย่างมาใช้พอดี ส่วนจะออกมาเป็นอะไรนั้น รอติดตามกันในบล็อกหน้านะคะ

วันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2558

สรุปค่าใช้จ่ายเที่ยวแบ็กแพ็คญี่ปุ่น 4 วัน 3 คืน

สวัสดีค่ะ หลังจากที่เล่าประสบการณ์การไปเที่ยวญี่ปุ่นของติ๊ดกับแพร์จบแล้ว ในบล็อกนี้จะมาสรุปค่าใช้จ่ายที่จำเป็นตลอดทริปนี้นะคะ ย้ำอีกครั้งว่าค่าใช้จ่ายที่จำเป็นเท่านั้น หมายถึง เฉพาะค่าจองตั๋ว ค่ากิน ค่ารถ อาจจะมีบวกค่าขนมนิดหน่อย ในส่วนของฝากก็แล้วแต่คนว่าใครซื้ออะไร ซื้อมากซื้อน้อยขนาดไหน ไม่สามารถระบุได้ค่ะ แล้วก็ ค่าขนมที่ซื้อตามมินิมาร์ท ติ๊ดเป็นคนกินขนมจุมากทำให้เสียค่าขนมในแต่ละวันเยอะ แพร์กินขนมน้อยก็ไม่เสียค่าขนมเลยในแต่ละวัน ส่วนนี้จะระบุเฉพาะของติ๊ดบวกไว้เผื่อเป็นไกด์สำหรับคนกินขนมเก่ง ใครกินขนมมากน้อยแค่ไหนก็ลองบวกลบดูนะคะ

ก่อนจะไปอ่านสรุปค่าใช้จ่ายอยากให้เพื่อนๆ ผู้อ่านทุกคนทำความเข้าใจส่วนนี้ก่อนนะคะ

1. ทริปนี้ติ๊ดไปกับแพร์ ลูกพี่ลูกน้องของติ๊ด แค่ 2 คน ดังนั้นค่าที่พักที่จองล่วงหน้าก็จะเป็นราคาที่หาร 2 เรียบร้อยแล้วนะคะ
2. เราไปกันแบบไม่เน้นช็อป ช็อปน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ จะซื้อเพิ่มเติมก็แต่พวกของกินที่ในเน็ตหรือไกด์บุ๊คเค้าว่ากันว่าอร่อย
3. ในแต่ละวันที่ญี่ปุ่นเรา 2 คนตื่นไม่ทันข้าวเช้ากัน ถ้าเกิดเพื่อนๆ ไปอาจจะต้องบวกค่าข้าวเพิ่ม 1 มื้อจากที่ติ๊ดสรุปไว้แล้วนะคะ (ประมาณ 700-1,000 เยนต่อมื้อไม่เกินนี้ ถ้าไม่กินร้านหรู)
4. การเดินทางใช้รถไฟฟ้าทั้งหมด รถไฟฟ้าส่วนใหญ่จะนั่งของ Subway (Tokyo Metro มีแค่วันแรกวันเดียวที่นั่งของ JR วันไหนที่นั่งของ JR จะระบุไว้ค่ะ)
5. คุณแม่แลกเงินให้ติ๊ดไปทั้งหมด 70,000 เยน เรทเงินที่แลกไปคือประมาณ 0.277 ในส่วนที่สรุปค่าใช้จ่ายเป็นบาทไทยก็จะใช้เรทนี้ในการคิด
6. ค่าใช้จ่ายนี้ไม่รวมค่าของฝากอย่างที่ระบุไปในย่อหน้าแรกแล้ว

ถ้าเข้าใจกันแล้วก็มาเริ่มกันเลยค่ะ


แพร์ ติ๊ด สองสาวผู้บุกเจแปน กับซาลาเปาทอดวัดเซนโซจิ


- - - - - - - - - - -

ก่อนไป
จองตั๋วเครื่องบินไปกลับพร้อมที่พัก 3 คืนกับ Airasia Go
ในส่วนนี้ตกคนละประมาณ 15,600 บาท


วันที่ 1 มาถึงญี่ปุ่นตอนเที่ยง เช็คอินที่โรงแรม เดินเล่นแถวโอไดบะ สะพาน Rainbow Bridge แช่ออนเซ็น
การเดินทาง : นั่งรถบัส Keisei line เข้าโตเกียว --> ต่อรถไฟฟ้าไปลงสถานี Yotsuya-Sanchome --> เช็คอินที่โรงแรม --> รถไฟฟ้าลงชินจูกุ --> JR ลงชิมบาชิ --> ต่อ JR ไปลงอีกสถานี( จำชื่อไม่ได้ แต่ไม่ใช้ Telecom Center ) ถึงโอไดบะ --> เดินเล่นบนสะพาน Rainbow Bridge --> แช่ออนเซ็น --> นั่ง JR จากสถานี Telecom Center ไปลงชิมบาชิ --> ต่อรถไฟฟ้าจากชิมชาบิกลับโรงแรม

ค่ารถ
บัสเข้าโตเกียว 1,000 เยน
รถไฟไป Yotsuya-Sanchome 170 เยน
รถไฟไปชินจูกุ 170 เยน
ต่อ JR ชิมบาชิ 200 เยน
จากชิมบาชิลงโอไดบะ 250 เยน
ออนเซ็น 1980 เยน
JR เทเลคอมไปชิมบาชิ 380 เยน
รถไฟจากชิมบากลัชโรงแรม170 เยน

รวมค่ารถ 2,340 เยน

ค่ากิน
มื้อกลางวัน คัทสึด้ง ไซส์เล็กสุด 390 เยน
ซาลาเปาพิซซ่า 110 เยน 
มื้อเย็น ราเม็ง 770 เยน หารเกี๊ยวซ่ากับแพร์ 180

รวมค่าของกินหลักๆ 1,450 เยน

ค่าขนมส่วนตัวติ๊ด (ทั้งหมดซื้อใน Family Mart)
ตอนกลางวัน    นมเปรี้ยว 166 เยน ขนมเมจิ 108 เยน
ที่โอไดบะ   มาร์ชเมโล่ถั่วเขียว 54 เยน
กลับจากออนเซ็น   คุกกี้ชาเขียว 120 เยน ขนมเมจิ 131 เยน

รวมค่าขนม 579 เยน

ค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่ใช้ในวันที่ 1 รวมทั้งหมด 6,349 เยน หรือประมาณ 1,759 บาทไทย

- - - - - - - - - -

วันที่ 2 บุกชินจูกุ ชิบูย่า และฮาราจูกุ
การเดินทาง : นั่งรถไฟฟ้าไปชินจูกุ --> กินข้าวแกงกะหรี่ที่สถานีชินจูกุ --> เดินไปศาลเจ้าเมจิ --> เดินไปฮาราจูกุ --> ซื้อของที่ร้าน Ainz , กินเครป --> นั่งรถไฟฟ้าไปลงชิบูย่า --> กินข้าวแกงกะหรี่ร้าน CocoIchibanya --> ซื้อตั๋วกลับ Yotsuya-Sanchome (หลังจากนั้นซื้อตั๋วแล้วเข้าเกตผิดต้องซื้อใหม่อีกใบ) --> กลับถึงโรงแรม

ค่ารถ
รถไฟฟ้าไปชินจูกุ 170 เยน
ค่ารถไปชิบูย่า 170 เยน
ค่าตั๋วกลับ Yotsuya-Sanchome 170 เยน
ซื้อตั๋วแล้วเข้าเกตผิดสายต้องซื้อใหม่ 170 เยน

รวมค่ารถ 680 เยน (ถ้าตอนกลับเข้าเกตไม่ผิดเสียแค่ 510 เยน)

ค่ากิน
มื้อกลางวัน  ข้าวแกงหะหรี่ทงคัทสึ 770 เยน
เครปฮาราจูกุร้าน Angels Crepe ไส้ช็อกโกบานาน่า 500 เยน
มื้อเย็น  ข้าวแกงกะหรี่ผักรวมเพิ่มผักโขม ลดข้าว ร้าน CocoIchibanya 837 เยน

รวมค่ากิน 2,107 เยน

ค่าขนมส่วนตัว
ตอนกลางวัน  นมจืดเมจิ 110 เยน
ตอนกลางคืน  นมเปรี้ยว 110 เยน

รวมค่าขนม 220 เยน

ค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่ใช้ในวันที่ 2 ทั้งหมด (ไม่รวมค่าของที่ซื้อในร้าน Ainz)
3,007 เยน หรือประมาณ 833 บาทไทย

- - - - - - - - - - -

วันที่ 3 วัดอาซากุสะ ตึกทาเคยะ(ตึกม่วง) เก็บตกชิบูย่าและฮาราจูกุ
การเดินทาง : รถไฟฟ้าไปลงอาซากุสะ --> เดินเล่นวัดเซนโซจิ ชิมซาลาเปาทอด --> ต่อรถไปอุเอโนะ --> ซื้อของฝากที่ตึกม่วง --> นั่งรถำไฟฟ้าลง Yotsuya-Sanchome --> เอาของไปเก็บไว้ที่โรงแรม --> นั่งรถไปฮาราจูกุ --> กินเครปร้าน Angels Heart , ซื้อของที่มัตสึโมโต้ --> นั่งรถไปชิบูย่า 170 --> เดินชิบูย่า ซื้อทาร์ต Pablo --> นั่งรถกลับโรงแรม

ค่ารถ
ไปอาซากุสะ 240 เยน
ไปอุเอโนะ 170 เยน
กลับโรงแรม ลง Yotsuya-Sanchome 200 เยน
ไปฮาราจูกุ 170 เยน
ไปชิบูย่า 170 เยน
กลับโรงแรม 170 เยน

รวมค่ารถ 1,120 เยน

ค่ากิน
มื้อกลางวัน   มิโซะราเม็ง 390 เยน หารเกี๊ยวซ่ากับแพร์ 100 เยน
วัดเซนโซจิ   ซาลาเปาทอด 110 เยน
ฮาราจูกุ   เครปร้าน Angels Heart ไส้เฟรชบลูเบอร์รี่ชีสเค้ก 560 เยน
ชิบูย่า   หารทาร์ต Pablo กับแพร์ 425 เยน
มื้อเย็น   ข้าวกับแกงหมูอะไรซักอย่าง คล้ายๆแกงกะหรี่แต่ไม่ใช่ ประมาณ 770 เยน

รวมค่ากิน 2,355 เยน

ค่าขนมส่วนตัว
ซอฟต์ครีมวัดเซนโซจิ 350 เยน
ชานมกดจากตู้ ประมาณ 130 เยน
รวมค่าขนม 480 เยน

ค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่ใช้ในวันที่ 3 รวม 3,955 เยน หรือประมาณ 1,096 บาทไทย

- - - - - - - - - - -

วันที่ 4 ไปร้านเซ็กส์ทอยย่านอากิฮาบาระ นั่งรถไปสนามบิน กลับไทย

การเดินทาง : นั่งรถไฟฟ้าไปลงอากิฮาบาระ --> แวะร้านเซ็กส์ทอย --> ซื้อของฝากเพิ่มเติมที่ตึกดองกี้สาขาอากิฮาบาระ --> กินอุด้ง --> นั่งรถไฟฟ้าไปสนามบินนาริตะ --> กลับไทย

ค่ารถ
รถไฟฟ้าลงอากิฮาบาระ 240 เยน
รถไฟฟ้าไปสนามบินนาริตะ 1,030 เยน

รวมค่ารถ 1,270 เยน

ค่ากิน
มื้อกลางวัน อุด้งแถวอากิฮาบาระลดราคา 680 เยน

รวมค่าของกิน 680 เยน

ค่าขนมส่วนตัว
กินไอติมในสนามบิน 130 เยน

รวมค่าขนม 130 เยน

ค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่ใช้ในวันที่ 4 รวม 2,080 เยน หรือประมาณ 576 บาทไทย



รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมด 4 วัน 15,391 เยน หรือประมาณ 4,263 บาทไทย เฉลี่ยวันละประมาณ 1,000 บาท ไม่รวมค่าช็อปปิ้งและค่าของฝากจ้าาาา

- - - - - - - - - -

ก็จบไปเรียบร้อยแล้วค่ะสำหรับค่าใช้จ่ายในการไปแบ็กแพ็คของเรา 2 คน หวังว่าจะเป็นแนวทางให้กับเพื่อนๆ ที่อยากจะลองไปแบ็กแพ็คญี่ปุ่นดูนะคะ จะเห็นได้ว่าแต่ละวันใช้เงินไม่เยอะอย่างที่คิดเลย อย่างติ๊ดเองถ้ารวมค่าช็อปปิ้งหรือซื้อของฝากแล้ว ก็ใช้ไม่เกิน 7,000 เยนต่อวัน คือไม่เกิน 2,000 บาทไทย แลกเงินไป 70,000 เยน เหลือกลับบ้านมาประมาณ 31,000 กว่าเยน เรียกได้ว่าเกินครึ่งของที่แลกไปแค่นิดเดียวเอง  อาจจะเป็นเพราะว่าเราไม่ใช่คนช็อปหนักด้วย เพราะนี่มันทริปแบ็กแพ็คนี่เนอะ ก็อยากจะประหยัดให้มากที่สุด

สำหรับบล็อกนี้ก็หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ นะคะ ใครสนใจอยากทราบข้อมูลอะไรเพิ่มเติมก็สอบถามได้เลยค่ะ แล้วพบกันใหม่ในบล็อกหน้านะคะ ^u^

วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2558

แบ็กแพ็คเที่ยวเจแปนใสๆ ไม่ง้อทัวร์ วันที่ 4 (วันสุดท้าย) บุกร้านเซ็กส์ทอยย่านอากิฮาบาระ ซื้อของฝากที่ตึกดองกี้ ก่อนเดินทางกลับไทย

สวัสดีค่าาา และแล้วทริปเที่ยวญี่ปุ่นของติ๊ดกับแพร์ที่จะมาเล่าให้ฟัง ก็ดำเนินมาจนถึงวันสุดท้ายแล้วค่ะ

และต้องบอกก่อนว่าในบล็อกนี้จะมีรูปประกอบน้อย เพราะทางร้านที่ไปมามีกฎห้ามถ่ายรูปภายในร้าน และระหว่างกลับต้องถือของเป็นจำนวนมากทำให้ไม่สะดวกที่จะถ่ายรูป แต่จะมีสรุปความรู้สึกที่ได้จากการไปแบ็กแพ็คญี่ปุ่นด้วยตัวเองครั้งแรกเสริมตอนท้ายด้วยนะคะ

ทั้งวันสุดท้ายนี้ เราไปกันแค่ที่เดียว ไปดูร้านเซ็กส์ทอยชื่อดังที่ย่านอากิฮาบาระที่มีถึง 7 ชั้น คือร้าน Pop Life Department นั่นเองค่ะ หลังจากนั้นก็นั่งรถกลับสนามบินกันเลย จะไม่ขอพูดถึงส่วนของสนามบินนะคะ มาถึงสนามบินก็มีแค่เช็คอิน ซื้อของฝากเพิ่มเติม และขึ้นเครื่องกลับไทย พอทราบรายละเอียดของเรื่องที่จะเล่าในวันนี้แล้วเราก็มาเริ่มกันเลยดีกว่าค่ะ

- - - - - - - - - -

เริ่มด้วยการตื่นสายอีกครั้งของเรา 2 คน 555555 อาหารเช้าของเราวันนี้จะเป็นอะไรไปไม่ได้อีกนอกจาก ทาร์ตชีส Pablo ที่ซื้อมาจากวันที่ 3 นั่นเอง ด้วยเกรงว่ารอกลับถึงไทยมันจะเสียซะก่อน ก็เลยจัดการโซ้ยกันที่ห้องพักเลยค่ะ และเพราะในกล่องทาร์ตกับโรงแรมไม่มีช้อนส้อมมาให้ เราเลยต้องใช้สองมือของเรานี่แหละ จกใส่ปากกันเลยทีเดียว 5555

สำหรับทาร์ตชีสราคา 850 เยนนี้ เราสั่งเป็นแบบ Medium มาเพราะกลัวถ้าสั่งแบบเยิ้มๆไส้จะไหลทะลักออกมา ไส้หอมชีสมากค่ะ เนียนนุ่ม หวานกำลังดี เนื้อสัมผัสต่างจากทาร์ตไข่ที่เคยกินนิดนึง จะะออกข้นๆกว่า ด้านบนที่เป็นสีเหลืองสดคิดว่าน่าจะทาเจลาติน รสชาติเหมือนแยมเปรี้ยวๆ สีสันสดใสที่อยู่บนเค้กเด็กประมาณนั้น ตัวแป้งทาร์ตยังคงกรุบกรอบแม้จะผ่านมาแล้วคืนนึง(ไม่แน่ใจว่าทาร์ตชนิดอื่นเป็นเหมือนกันมั้ยถ้าทิ้งข้ามคืน) แถมยังหอมเนยสุดๆ  เสียดายที่ซื้อแล้วไม่ได้กินทันที คิดว่าถ้ากินตอนร้อนๆน่าจะอร่อยกว่านี้ แต่เท่านี้ก็ถือว่าประทับใจมากค่ะ ให้ 9/10 ละกันเนอะ หักคะแนนที่ไม่มีช้อนให้ กินยาก T3T ไว้ไปกินตอนร้อนๆอีกทีอาจจะให้คะแนนเพิ่ม <3 

ปล. ทาร์ตชิ้นใหญ่มาก ขนาดช่วยกันกิน 2 คนยังเกือบจะกินไม่หมด ทำเอากินข้าวเช้าไม่ได้อีกเลย


ทาร์ตชิ้นโตที่จกกันไปคำนึงแล้วพึ่งนึกได้ว่าต้องถ่ายรูปรีวิว
สภาพของมันจึงออกมาเป็นเช่นนี้ 5555555

พอกินทาร์ตชิ้นโตกันเสร็จก็ทำการขนย้ายกระเป๋าเสื้อผ้าที่เราเก็บกันไว้ก่อนหน้านี้เพื่อลงไปเช็คเอาท์ ก่อนจะออกจากโรงแรมก็ยังไม่ลืมที่จะขอตาชั่งจากพนักงานต้อนรับ ทิ้งความสตั๊นไว้ให้พนักงานต้อนรับก่อนจากกัน เธอเตรียมหัวใจมาก่อน~ (ผิด)

เริ่มออกเดินทางโดนรถไฟฟ้าเหมือนเดิม คราวนี้ไปลงที่อากิฮาบาระเลยค่ะ พอมาถึงก็เดินหาล็อคเกอร์สำหรับฝากกระเป๋ากันก่อน แต่มาถึงดันไม่มีตู้ไหนว่างเลย ก็เลยจะเป็นต้องลากกระเป๋าสัมภาระเดินไปเดินมาตลอดวัน ทำให้วันนี้ค่อนข้างทุลักทุเลพอสมควร

มาถึงอากิฮาบาระก็เกิดมหากรรมหลงอีกจนได้ 5555555 GPS เกิดอาการงอแงหมุนไปหมุนมาอีกแล้วเลยต้องมายืนตั้งหลักตรง 3 แยกๆ นึง มองหาร้านคาเฟ่กันดั้มก่อนเพราะเป็นจุดสังเกตที่เห็นได้ชัด ถ้ามองจากทางแยก ร้าน Pop life จะอยู่คนละทางกับคาเฟ่กันดั้มค่ะ (ถ้าเจอคาเฟ่อยู่ทางซ้ายมือ แสดงว่าร้าน pop life อยู่ทางขวา ประมาณนี้) ยืนงงๆ กันอยู่ 10 นาทีก็เห็นไปเห็นคาเฟ่กันดั้ม เราเลยตรงดิ่งไปอีกทางทันที เดินมาประมาณไม่กี่ร้อยเมตรก็เจอกับตึกสีเขียวอร่าม ตั้งตระหง่านอยู่หัวมุมเลย ตึกเด่นมาก 5555 

ตึกเขียว 7 ชั้น สวรรค์ของหนุ่มๆ
Picture from  http://tokyoincognito.info/

ในร้านนี้แต่ละชั้นก็จะแบ่งของเป็นประเภทๆ ไปค่ะ เช่น ตุ๊กตายาง จิ๋มกระป๋อง ถุงยางอนามัย ดิลโด้ ชุดคอสเพลย์เซ็กซี่ แผ่น AV จำไม่ได้ว่าอะไรอยู่ชั้นได้บ้าง ถึงจะมีหลายชั้น แต่พื้นที่ค่อนข้างแคบ แล้วก็ในร้านส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชายมาเดินดูมากกว่า สาวๆส่วนมากจะมากับแฟน มีแต่เรากับแพร์นี่แหละที่เป็นผู้หญิงสองคนเสร่อเดินเข้าไปกัน 5555

เราเริ่มเดินกันจากชั้นบนสุดลงมาทีละชั้นๆ รู้สึกสนุกสนานกับการเดินมาก ขำตลอดเวลา เพราะมันมีของเล่นที่บางอย่างเราไมคิดว่าจะมีอยู่ในนี้ด้วย 5555555 เช่น ถุงยางลายริลัคคุมะ ปากการูปเจี๊ยว กางเกงในที่มีบักหำน้อยยื่นออกมาสำหรับหนุ่มๆทอมบอย กล่องที่เปิดออกมาแล้วจะมีเจี๊ยวติดสปริงเด้งออกมา ชุดคอสเพลย์เซ็กซี่สำหรับหนุ่มๆ คือเป็นกางเกงในอะ แต่สายนี่พาดมาถึงบ่า อธิบายไม่ถูก ที่เคยมีฝรั่งใส่มาเล่นสงกรานต์บ้านเราอะ มีกางเกงในจีสตริงสำหรับคุณผู้ชาย กางเกงในสำหรับใส่จุ๊มุผู้น่ารักของหนุ่มๆ มีให้เลือกทั้งคุณม้าลาย คุณช้าง หรือจะเป็นคุณลาก็มุ้งมิ้งสุดๆ 55555555 นึกละขำ

ส่วนชั้นที่เป็นชุดคอสเพลย์เซ็กซี่ของสาวๆก็มีตั้งแต่เป็นชุดนักเรียน นางพยาบาลชวนสยิวกิ้ว ไปจนถึงชุดชั้นในเซ็กซี่ มีถุงน่องแบบต่างๆ อันนึงที่ตะลึงมากคือเป็นถุงน่องธรรมดาๆนี่แหละ แต่มีรูโหว่ตรงจิ๊มิ คือกะว่าจะทำทีไม่ต้องถอดอะไรกันเลยทีเดียว 555555 แล้วก็มีกางเกงในผู้หญิงขาย ทั้งแบบแพ็คใส่กล่องอย่างดีและแบบแขวนบนไม้แขวนธรรมดา ว่ากันว่าถ้าหนุ่มๆ ท่านไหนโชคดี อาจได้กางเกงในที่มีคนใส่แล้วติดไม้ติดมือกลับไปก็ได้ ทางร้านบอกว่าถ้ากล้าใส่ชุดคอสเพลย์ถ่ายรูปโพลารอยด์กับที่ร้านจะมีส่วนลดให้ 20% สำหรับค่าชุดด้วยนะเอ้อออ ใครสนใจก็ลองไปดูนะ 5555555

ไม่สบายตรงไหนเอ่ย เดี๋ยวพยาบาลตรวจให้นะค้าาาา
ชุดนางพยาบาล จริงๆเค้าห้ามถ่ายแต่แพร์แอบแชะมาจนได้ 555555

แล้วก็จะมีส่วนที่เป็นพวกโดจิน จิ๋มกระป๋อง นมปลอม อะไรทำนองนั้น ที่ตะลึงคือตุ๊กตายาง ราคาประมาณ 2 แสนเยนถ้าจำไม่ผิด ในร้านจะมีตัวอย่างวัสดุที่ใช้ทำตุ๊กตายาง นมปลอม และจิ๋มกระป๋องให้ลูกค้าลองจับดู อื้อหือแบบบบมันนิ่มมากแก นิ่มแบบ อยากบีบอะ (แลดูโรคจิต 55555) จิ๋มกระป๋องมีการผ่ากลางให้ดู ด้านในทำเก็บรายละเอียดมาก ดูเหมือนจะต้องมีการศึกษา Anatomy มาอย่างดีก่อนผลิตออกมาแน่ๆ รู้สึกทึ่งเหมือนกัน ตรงนี้ คือเค้าผลิตกันแบบจริงจังมากอะ แบบหาเมียไม่ได้ก็ไม่ลำบากละ 5555555

ในส่วนชั้นสำหรับสาวๆ คือที่มีไข่สั่น ดิลโด้ และถุงยางอนามัยจะอยู่ในชั้นเดียวกัน เช่นเดียวกันกับชั้นของหนุ่มๆ ที่จะมีวัสดุตัวอย่างให้ลองบีบๆจับๆดู มีดิลโด้ชิ้นนึงทำเอาตกอกตกใจมาก ราคาหมื่นกว่าเยน ขนาดเส้นรอบวงแบบเอา 2 มือโอบรอบได้พอดีอะ คือมันใหญ่มาก นี่แบบตกใจมากตอนเห็น ขำด้วย คำถามคือใครจะเอาไปใช้ฟะ!?! 5555555 คงสำหรับซื้อไปตั้งโชว์ขำๆ อะไรประมาณนั้น ดิลโด้ที่นี่ก็มีหลากหลายรูปแบบมาก ทั้งแบบแมนนวลและแบบไฟฟ้า ไอแบบไฟฟ้านี่แหละน่ากลัวมาก กลัวเวลามันขยับอะ 5555 มีแบบฝังมุกด้วยนะพวกเธอว์ ทำเอาขนลุกขนพองเลยทีเดียว มีหลากหลายสี หลายวัสดุให้เลือกทั้งแบบนิ่มแบบแข็ง แบบเรียบๆเป็นลำเฉยๆ หรือแบบเก็บรายละเอียดเหมือนจุ๊มุของจริง บางอันเก็บรายละเอียดพวกสีของเส้นเลือดอะไรงี้ด้วย น่ากลัวมาก 555555 สาวๆผู้เหงาใจคนไหนชอบก็ลองมาดูกันได้น้า ราคาดิลโด้น่าจะอยู่ที่ประมาณ 4-6 พันเยนถ้าจำไม่ผิด แล้วแต่แบบ

ส่วน 2 ชั้นล่างสุดจะเป็นพวก AV/Blu ray ขายกันโจ้งๆ เลย แต่ส่วนนี้ไม่ได้เดินดูเยอะ มัวแต่สนุกสนานกับข้างบน อีกอย่างคือกลัวเห็นหุ่นนางเอกดีกว่าเราแล้วรับไม่ได้ (ไม่เกี่ยว 55555) ใช้เวลาอยู่ในร้านประมาณชั่วโมงนึงได้ ออกมานี่ถึงขั้นท้องแข็งกันเลยทีเดียว ขำกันตลอดทุกชั้น ความสุขของการมาแรดโดยปราศจากผู้ใหญ่มันเป็นอย่างนี้นี่เอง 55555



พอออกจากร้าน Pop life มาก็เป็นเวลาประมาณ เที่ยงๆ เกือบบ่าย แล้ว เราก็ไปต่อกันที่ตึกดองกี้สาขาฮากิฮาบาระเพื่อซื้อของฝากเพิ่มเติม รอบนี้โชคดีที่มีแอพฯ ของดองกี้เอง มี GPS บอกทางในตัวเลยว่าเราต้องเดินไปทางไหนอีกกี่เมตรจะถึงดองกี้สาขาที่ใกล้ที่สุด หมดปัญหาเรื่องหลงทาง จะไม่พูดถึงในส่วนของดองกี้มาก เพราะมาซื้อของฝากอย่างเดียวไม่มีอะไรเป็นพิเศษ

พอมาซื้อของที่ดองกี้เราก็ได้รับบทเรียนอีกอย่างนึงในการมาเที่ยวญี่ปุ่น นั่นก็คือ เวลาจะมาซื้อของที่ญี่ปุ่นต้องเช็คราคาแต่ละร้านให้ดีๆ ไม่งั้นท่านอาจจะปวดใจกับราคาที่แตกต่างกันถึงเท่าตัว ถ้าซื้อมาถูกกว่าก็ถือว่าโชคดีไป แต่ถ้าซื้อมาแพงกว่าแบบเรากับแพร์เนี่ยสิ แค้นสุดๆ อย่างแพร์ซื้อกาวติดทำตาสองชั้นมา 1,000 เยนที่มัตสึโมโต้ แต่มาเจอที่ดองกี้ขายแบบเดียวกันในราคา 500 เยน ติ๊ดเองซื้อทาโร่ชีสที่ทาเคยะมาเกือบ 700 เยน เจอที่ดองกี้ขาย 350 เยน ยี่ห้อเดียวกัน แพ็กเกจเหมือนกันเป๊ะ ตอนแรกก็คิดว่าคงคนละขนาดกัน เลยซื้อติดไปอีกถุงเผื่อฝากเพื่อนๆ จนพอกลับมาถึงบ้านเอามาเทียบดู ขนาดเดียวกันเป๊ะ แทบลมจับ

และแล้วซื้อของไปๆมาๆ แพร์ก็เกิดอาการกระเป๋างอกมา 1 ใบ 55555 เพราะซื้อของฝากกันเยอะมากกระเป๋าใส่ไม่พอ ที่ดองกี้แพร์ไปเก็บตกเครื่องสำอาง ส่วนเราซื้อพวกขนม ของกิน เพิ่มเติม


ใช้เวลาที่ดองกี้จนถึงบ่าย 2 กว่าๆ ตั้งใจว่าจะไปที่สถานีรถไฟตอนบ่าย 3 แต่เพราะเดินกันเยอะมากเลยเริ่มหิว จุดที่เราอยู่ตอนนั้นห่างจากสถานีรถไฟประมาณ 1 กิโลเมตรนิดๆ ก็เดินหาร้านของกินกันระหว่างทาง ผ่านร้านแม็คโดนัล  เห็นเค้าว่ากันว่าเบอเกอร์แม็คอร่อยกว่าในไทยมากก็กะจะลองแวะดู แต่พอเข้าไปถึงคนเต็มร้านเลย ที่ว่างมีแต่ชั้นบนและต้องเดินขึ้นบันได เราสองคนแบกของกันมาเยอะมากบวกกับปวดขาเพราะหอบของเดินไปเดินมาหลายชั่วโมง เดินผ่านไปซัก 500 เมตรเจออีกร้านก็ว่างแต่ชั้นบนอีก ก็เลยต้องตัดใจไม่กิน ไว้มากินรอบหน้าละกันเนอะ

เดินไปเรื่อยๆ แม็ค 2 ร้านก็คนเต็ม เจอร้านที่อยากกินก็ปิด จนถึงจุดที่แบบ หิวมากไม่ไหวแล้วว่อยยยย เราก็ได้พบกับสวรรค์ หันแว๊บมาเห็นร้านนึงติดป้ายลดราคา แต่ทั้งหมดเป็นภาษาญี่ปุ่น จริงๆก็ไม่อยากเสี่ยงเพราะอ่านไม่ออก แต่ด้วยความที่หิวมากเลยกะว่าเดี๋ยวค่อยถามพนักงานในร้านเอาละกันว่าอันไหนคืออะไร
เข้ามาถึงพนักงานวัยรุ่นชายคนนึงเดินเข้ามาพูดภาษาญี่ปุ่นกับเราก่อน พอเห็นว่าเราพูดอังกฤษเค้าก็แบบตกใจนิดนึง แล้วก็พยายามพูดภาษาอังกฤษแบบตะกุกตะกักนิดหน่อย ระหว่างอธิบายให้เราฟังก็พูดไปนึกศัพท์ไป ดูเค้าพยายามที่จะสื่อสารกับเรา เราก็ถามๆแบบเมนูไหนคืออะไร พอมาเสิร์ฟก็ถามเค้าว่ามันกินยังไง เหมือนพนักงานก็พยายามจะแนะนำเมนูในร้านให้กับเราแม้จะพูดไม่ค่อยได้ ซึ่งเราว่าน่ารักดีนะ เป็นสิ่งนึงที่ประทับใจในตัวคนญี่ปุ่นและงานบริการของญี่ปุ่นมาก เมนูในร้านเป็นอุด้ง กินคู่กับซุปแบบไหนก็แล้วแต่จะสั่งในเมนู รสชาติอร่อยมาก ทุกวันนี้ยังเสียดายมากที่จำชื่อร้านไม่ได้



พอกินอุด้งเสร็จก็บ่าย 3 ครึ่งแล้ว เดินต่อมาเรื่อยๆ จนถึงสถานีรถไฟกลับสนามบินนาริตะ ค่าตั๋ว 1,030 เยน (จำไม่ได้ว่านั่งสายไหน)  นั่งรถไฟฟ้ากลับสนามบินใช้เวลาประมาณเกือบ 2 ชั่วโมงได้  ได้เห็นวิวตอนออกจากตัวเมือง รู้สึกบรรยากาศที่นี่ดูร่มรื่นอบอุ่นบอกไม่ถูก เห็นภาพแบบนี้ก็รู้สึกใจหายเหมือนกันที่ต้องกลับแล้วถ้ามีโอกาส(และตัง)อยากกลับมาเที่ยวที่นี่บ่อยๆ 4 วัน 3 คืนที่ใช้เวลาอยู่ที่นี่เป็นเวลาที่สั้นมาก รู้สึกตัวอีกทีก็หลงรักประเทศญี่ปุ่นเข้าแล้ว

- - - - - - - - - -

ก็เป็นอันจบสำหรับการเล่าประสบการณ์การท่องเที่ยวในทริปนี้ค่ะ ถือเป็นการแบ็กแพ็คครั้งแรกในชีวิต และเป็นการออกไปนอกประเทศโดนไม่มีผู้ใหญ่ไปด้วยเป็นครั้งแรก

สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการไปแบ็กแพ็คญี่ปุ่น
1. ผู้หญิงญี่ปุ่นส่วนมากขาใหญ่ และใส่รองเท้าส้นสูงมาก
2. แฟชั่นผู้หญิงญี่ปุ่นแปลกถึงแปลกมากทั้งสีสันและรูปแบบที่นำมามิกซ์แอนแมทช์ สามารถพบเห็นคุณป้าในชุดวัยรุ่นถุงเท้าติดระบาย หรือวัยรุ่นในชุดคุณป้าได้ทั่วไป ผู้ชายไม่ค่อยมีอะไรเพราะคล้ายๆกันตามสไตล์ซาลารี่มัง
3. คุณแม่ชาวญี่ปุ่นใสมากกกกกก เห็นแต่ละคนหน้าใสๆแต่งตัวแบ๊วๆ หิ้วลูกมากันทั้งนั้น ทำได้ยังไงฟะะ
4. คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่หน้าตาดี
5. ผู้หญิงญี่ปุ่นที่หน้าตาดีส่วนมากต่อขนตา
6. ราเม็งญี่ปุ่นโคตรเค็ม เค็มทุกร้าน แต่เมนูอื่นๆอร่อยถูกปาก
7. ถ้ากินข้าวอย่านั่งใกล้โต๊ะที่มาตั้งแต่ 4 คนขึ้นไปเพราะจะคุยกันเสียงดังน่าหงุดหงิดมาก บางร้านสามารถสูบบุหรี่ในร้านได้ โคตรเหม็น แต่อันนี้สิงห์อมควันน่าจะชอบ
8. งานดีไซน์ในญี่ปุ่นทั้งโฆษณาแฝะแพ็กเกจจิ้งของคนญี่ปุ่นคือดีงามมากกกกก แต่ทำไมคนญี่ปุ่นแต่งตัวแปลกอะ
9. ประทับใจงานบริการของญี่ปุ่นมาก ส่วนใหญ่ใส่ใจลูกค้าสุดๆ ถึงพนักงานบางคนพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ก็จะพยายามหาวิธีอธิบายให้เราเข้าใจ ซื้อของนิดเดียวแล้วใช้แบงค์ใหญ่เวลาทอนเงินก็จะนับให้เราดูทีละใบๆ
10. คนญี่ปุ่นแม้แต่ในเวลาประท้วงก็ยังยืนเข้าแถวเป็นระเบียบ และยืนตามแนวกำแพงไม่มีขวางถนน อันนี้อะเมซิ่งมาก
11. คนญี่ปุ่นหลับเก่งมาก หลับโคตรเก่ง โดยเฉพาะบนรถไฟ มีความสามารถในการควบคุมรัศมีศีรษะตัวเองเวลาสัปหงกให้ไม่เผลอไปซบคนที่นั่งข้างๆได้อย่างไม่น่าเชื่อ
12. Family Mart ญี่ปุ่นคนละเกรดกับไทยอย่างเห็นได้ชัด
13. ขนมญี่ปุ่นอร่อย รสชาติประหลาดๆเยอะ
14. เสื้อผ้าที่ญี่ปุ่นไม่น่าซื้อเลยสำหรับเรา อย่างที่บอกไปในข้อ 2.
15. แต่รองเท้าส้นสูงที่ญี่ปุ่นน่าซื้อมาก หน้าตาเหมือนรองเท้าพรีออเดอร์แต่คุณภาพพรีเมี่ยมมาก แล้วเป็นสไตล์ที่เราชอบด้วย ถึงส้นจะสูงมากแต่พื้นนิ่ม ใส่สบาย (แต่ที่อยากได้ไม่มีไซส์ ฟัคคคค)
16. สถานีรถไฟหลงง่ายยิ่งกว่าตัวเมือง ในเมืองไปเดินตั้งนานไม่หลง แต่มาหลงในสถานีรถไฟตอนจะกลับโรงแรม
17. บรรยากาศร่มรื่น สวนสารธารณะนี่คือดีงามจริงๆ ชอบมาก ต้นไม้เยอะ แน่น
18. ออนเซ็นคือสิ่งดีงามอีกอย่าง ชอบมาก สบายตัวและหัวจวย เอ้ย! หัวใจพอ 55555
19.ข้อดีของการไปเองคือ ตื่นกี่โมงก็ได้ อยากไปไหนก็ไป ไม่ต้องกลัวหลงกับใครเพราะไปกันอยู่สองคน 555555 แต่ต้องบริหารจัดการเวลาดีๆ
20. การซื้อของฝากจำนวนมากไม่ใช่เรื่องสนุก เพราะต้องแบกของหนักและเดินเยอะมากลับโรงแรม แถมยังต้องระแวงน้ำหนักเกิน
21. สินค้าในญี่ปุ่นโดยเฉพาะพวกเครื่องสำอาง สกินแคร์ ราคาถูกกว่าไทยมากแบบไม่น่าเชื่อ ร้านไทยส่วนมากเอาราคาเยนมาตั้งเป็นบาทเลย อันนี้แพร์บอกมา
22. พึ่งรู้ว่าตัวเองชอบแบ็คแพ็ก ชอบลำบาก 55555
23. อยากไปแบ็กแพ็คเมืองนอกอีก แต่ขอในไทยก่อนละกัน ยังไม่เคยไปเที่ยวไหนในไทยเลย
24. และอีกมากมาย ตอนพิมนึกไม่ออก แต่ตอนนี้อยากเที่ยวแล้ววววว
ขอขอบคุณแพร์ ที่ชวนไปเกาหลีแต่ทำไมเรามาโผล่กันที่ญี่ปุ่น 55555
และขุ่นแม่ผู้สนับสนุนค่าใช้จ่ายในทริปนี้ ต่อไปจะเก็บเองแล้วค่าาาา
สุดท้าย ไปญี่ปุ่นแล้วหลง___เลย จงเติมคำลงในช่องว่าง
เฉลย หลงทาง กับ หลงรัก ฮิ้วววว 55555

ปล.กลับมาจากญี่ปุ่นน้ำหนักขึ้นมา 2 โล แต่แพร์น้ำหนักลง 3 โล คือไรรรร ‪#‎บ่งบอกพฤติกรรม‬ 555555

- - - - - - - - - - -

สำหรับในบล็อกต่อไปที่จะทำก็จะเป็นการรวบรวมค่าใช้จ่ายที่จำเป็นของติ๊ดในทริปนี้นะคะ รวมถึงจะมารีวิวของใช้ สกินแคร์บางส่วนที่ซื้อมาจากญี่ปุ่น มีทั้งมาส์กหน้า ขนตาปลอม น้ำหอม แป้งพัฟ พาเลทเขียนคิ้ว เซ็ตสครับและโทนเนอร์สำหรับจุ๊กกุแร้ ประมาณนี้

ตัวอย่างของใช้และสกินแคร์ที่ติ๊ดซื้อมาจากญี่ปุ่น ไม่ใช่แค่นี้นะ มีอีก > <

แล้วพบกันใหม่ในบล็อกหน้านะคะ สวัสดีค่ะ ^u^

วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2558

แบ็กแพ็คเที่ยวเจแปนใสๆ ไม่ง้อทัวร์ วันที่ 3 วันเซนโซจิ ชิมซาลาเปาทอด ก่อนแวะตึกม่วงซื้อของฝาก

สวัสดีค่าาา วันนี้มาต่อวันที่ 3 ของทริปนี้กันค่ะ

เป้าหมายหลักของวันนี้คือไปวัดอาซากุสะ เช่าชุดยูคาตะ ซื้อของฝากที่ตึกทาเคยะ หรือที่เป็นที่รู้จักในไทยว่าตึกม่วง แล้วกลับไปเก็บตกที่ฮาราจูกุกับชิบูย่าที่ค้างจากวันที่ 2

เนื่องจากวันที่ 2 เราจัดหนักกันไปหน่อย แรดไม่ดูเวล่ำเวลาบวกกับหลงสถานีรถไฟตอนกลับ ทำให้กลับถึงโรงแรม 5 ทุ่ม วันที่ 3 ก็เลยตื่นสายอีก ประมาณ 10 โมงกว่าๆ กว่าจะอาบน้ำแต่งหน้าแต่งตัวกันเสร็จก็ปาไปเกือบเที่ยงแล้ว วันนี้แต่งหน้าจัดเต็มเป็นพิเศษเพราะตั้งใจจะไปเช่าชุดยูคาตะ ไม่ได้ม้วนผมไปกันเพราะกะว่าให้เค้าทำผมให้ ติดขนตาปลอมที่ซื้อมาเมื่อวันที่ 2 ด้วย 55555

- - - - - - - - - - -

เริ่มออกเดินทางจากสถานีรถไฟฟ้า Totsuya-Sanchome ใกล้ๆโรงแรม ไปลงที่อาซากุสะราคาตั๋ว 240 เยน สิ่งที่พลาดอย่างแรกเลยในการมาวัดเซนโซจิวันนี้คือ มันเป็นวันอาทิตย์ค่ะ นั่นทำให้คนเยอะมาก แน่นไปหมด มาถึงก็เริ่มหิวแล้วเลยหาอะไรกินกันก่อน มาลงเอยที่ราเม็งเหมือนเดิมเพราะอยากชิมให้แน่ใจว่าราเม็งที่ญี่ปุ่นเค็มทุกร้านรึเปล่า กินที่ร้านใกล้ๆ ระหว่างทางออกสถานีกับตัววัดเลยค่ะ

วันนี้สั่งเป็นมิโซะราเม็งค่ะ หน้าตาคล้ายๆฮาจิบังราเม็งบ้านเรา แต่รสชาติแตกต่างกันพอสมควร ของร้านนี้หมูจะนุ่มๆ หน่อไม้จะชิ้นใหญ่กว่าที่กินในไทยแต่รสไม่จัดเท่า สาหร่ายอร่อย > < แต่เรื่องความเค็มนี่ต้องยอมให้เค้าเลย เค็มทุกเจ้าจริงๆ 55555 แต่ถือว่าราคาไม่แพงเลยคิดสำหรับเมนูนี้ 390 เยนพร้อมน้ำดื่มฟรี ให้ 7/10

หลังจากได้อยู่ได้กินมา 3 วันก็เริ่มสัมผัสได้ว่าน้ำดื่มในร้านอาหารไม่ว่าจะน้ำเปล่าหรือน้ำชามักจะให้มาฟรี เติมได้เรื่อยๆแบบบริการตัวเอง ซึ่งถือว่าดี เราชอบ 5555

มิโซะราเม็งแถววัดอาซากุสะ ราคา 390 เยน

หลังจากกินราเม็งเติมพลังกันแล้วก็ลุยต่อกันเลย ตอนแรกตั้งใจว่าจะไปเช่าชุดยูคาตะกันก่อนแต่ก็หาร้านไม่เจอ ในไกด์บุ๊คไม่ด้บอกอย่างละเอียดไว้ว่าร้านอยู่ตำแหน่งไหน ก็เลยกะว่าเข้าาไปเดินเล่นในวัดกันก่อน ทางวัดเซนโซจิหาได้ง่ายมาก เพราะจะเป็นซุ้มใหญ่ มีโคมไฟสีแดงสูงเห็นได้ชัดเจน ด้านใต้โคมแดงนี้จะมีรูปแกะสลักไม้เป็นรูปมังกร เห็นคนที่เดินเข้าวัดเค้ามาลูบๆ คลำๆ รูปแกะสลักนี้แล้วเอาไปแตะๆที่ตัว คิดว่าน่าจะเป็นความเชื่อของชาวญี่ปุ่นค่ะ อันนี้ไม่ทราบจริงๆ

ซุ้มประตูทางเข้าวัดเซนโซจิ

ด้านใต้โคมแดงเป็นไม้แกะสลักรูปมังกร


พอเดินผ่านซุ้มเข้ามาจะถึงถนนนากามิเซะ  ระหว่างทางก็จะมีซุ้มร้านขายของเรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบ ส่วนใหญ่จะเป็นของกินและของที่ระลึก เรา 2 คนพากันเดิมดุ่มๆๆ สำรวจร้านค้านิดหน่อย แล้วก็เข้าวัดกันก่อน เดี๋ยวค่อยออกมาหาชิมของกินทีหลัง พอมาถึงทางเข้าวัดจะเจอซุ้มประตูอีกซุ้ม ด้านหน้ามีโคมไฟสีแดงเหมือนกัน

พอเข้ามาด้านในวัดเราจะเจอที่สำหรับซื้อธูป เสร็จแล้วก็มาจุดที่กระถางจุดธูปไหว้พระค่ะ ตรงนี้คนญี่ปุ่นมีความเชื่อว่าถ้ากวักควันธุปเข้าหาตัวก็จะนำพาสิ่งดีๆเข้ามาสู่ตัวเราค่ะ ถ้าเกิดอยากให้เงินทองไหลมาเทมาก็ให้กวักควันธูปเข้ากระเป๋าตังค์ แพร์ก็เล่นควักกระเป๋าตังมา กวักควันเข้าทีละช่องๆ ล่อเอาครบทุกช่องเลยมั้งน่ะ 55555 เสร็จแล้วก็ไปไหว้พระขอพร จะมีอีกจุดหนุ่งเป็นศาลาสำหรับขอพรซึ่งต้องโยนเหรียญค่ะ ในจุดนี้ตอนแรกตั้งใจว่าจะเอาเหรียญ 5 เยนมาขอพร แต่พอมาถึง คนเข้าแถวยาวเหยียดมากๆลงมาเกินขั้นบันไดขึ้นศาลาเลย ด้วยความร้อนและเหนื่อยสะสมมาจาก 2 วันก่อนทำให้ไม่อยากยืนรอตรงนี้นานๆค่ะ เลยตัดสินใจไม่ขอพร หาที่ร่มๆ นั่งพักแทน แล้วก็นั่งคุยกันเรื่องชุดยูคาตะว่าจะเอายังไงดี จะยังยืมมาใส่อยู่มั้ย ได้ข้อสรุปว่าไม่แล้ว เพราะตอนแรกตั้งใจว่าจะใส่มาเดินเล่นในวัดกัน ร้านก็ยังไม่รู้อยู่ตรงไหน ถ้ายืมใส่ออกไปซื้อของฝากก็คงจะไม่ถนัด เลยต้องเก็บไว้โอกาสหน้า แอบเซ็งนิดหน้อยเพราะแต่งหน้ามาจักเต็มมากแถมไม่ได้ม้วนผมมา 5555 ดึงขนตาปลอมออกทันทีที่คิดว่าจะไม่ไปร้านเช่าชุด

สองสาวขอแชะรูปก่อนเข้าวัดแป๊บ

หลังจากที่ไหว้พระขอพร นั่งพักผ่อนกันจนพอใจแล้วก็ออกมาตามล่าหาของกินกัน เป้าหมายหลักที่ตั้งกันไว้คือเมล่อนปังและซาลาเปาทอดชื่อดัง แต่ร้านเมล่อนปังนี่ไม่รู้ทำไมหาไม่เจอ เลยได้แต่ชิมซาลาเปาทอด มีให้เลือกหลายไส้มาก ที่เรากับแพร์เลือกมาเป็นไส้ชาเขียวกับออริจินอล(ถั่วแดง) ราคาไม่แน่ใจค่ะ น่าจะอยู่ที่ประมาณ 100-150 เยนไม่เกินนี้

สำหรับติ๊ดที่กินไส้ชาเขียว รู้สึกว่าแป้งมันเหนียวประหลาดๆไปนิดนึง ทอดค่อนข้างอมน้ำมันและไม่กรอบมาก (หรือว่าทอดไว้นานแล้วอันนี้ไม่แน่ใจค่ะ) ไส้รสชาติใช้ได้เลย แต่ติดที่ว่าด้านในมันเป็นเหมือนเนื้อถั่วแดงบดผสมชาเขียว ส่วนตัวติ๊ดชอบชาเชียวมาก แต่ไม่ชอบถั่วแดงเลย ตรงนี้ก็เลยถือว่ายังไม่ค่อยว้าวสำหรับเราเท่าไหร่ แต่ถือว่าใช้ได้ค่ะ ที่จริงมันมีไส้คัสตาร์ดด้วยแต่ไม่ได้ซื้อมาลองชิม ไม่แน่ว่าไส้นั้นและไส้อื่นๆ ที่มีอาจจะอร่อย แต่สำหรับไส้ชาเขียวนี้ให้ 5/10 ค่ะ

สองสาวกับซาลาเปาทอดเจ้าดัง
ซาลาเปาทอดไส้ชาเขียว

พอกินซาลาเปาทอดเสร็จแล้ว ติ๊ดก็ขอจัดซอฟต์ครีมซะหน่อย (แอบเล็งมาตั้งแต่ตอนเดินเข้าวัด 5555) ส่วนแพร์ไม่ไหวแล้วเพราะไม่ค่อยชอบกินขนม (ตรงข้ามกับเราอย่างสิ้นเชิง 5555555555) ซอฟต์ครีมร้านที่ซื้อไม่มีรสชาติให้เลือกค่ะ มีแต่แบบสีม่วง ไม่แน่ใจว่าเป็นรสวนิลาใส่สีเฉยๆหรือเป็นรสเผือก แต่รสชาติหวานมันอร่อยดีค่ะ  โคนเป็นวาฟเฟิลกรุบกรอบ ซื้อมาในราคา 350 เยน หน้าตาน่ารักใช้ได้ รสชาติโอเค แต่เยอะไปนิดและต้องยืนกิน และต้องกินให้ไว(ปกติเป็นคนกินช้า)เพราะยังมีที่ต้องไปต่ออีกเยอะ สร้างความกดดันให้กับเราเป็นอย่างมาก 555555 สรุปแล้วให้คะแนน 8/10 ค่ะ

สาวญี่ปุ่น(เหรอ!?! 55555) กับซอฟต์ครีมสีม่วง คาวาอี้สุดๆ

*** ตั้งแต่ส่วนนี้เป็นต้นไปจะไม่ค่อยมีรูปแล้วค่ะ เนื่องจากหงุดหงิดกับของฝากไม่มีอารมณ์ถ่ายรูปกัน 55555 ต้องขออนุญาติยืมรูปจากเว็บไซต์อื่นๆ ด้วยในบางส่วนค่ะ ***

เสร็จภารกิจที่วัดอาซากุสะกันแล้วภารกิจต่อไปคือการซื้อของฝากที่ตึกทาเคยะหรือตึกม่วง โดยนั่งรถไฟฟ้าไปลงสถานะอุเอโนะ เดินออกมาประมาณนึงก็จะเจอตึกสีม่วงยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ค่ะ

ในส่วนของตึกม่วงจะมีแบ่งเป็นหลายตึกมากๆ ตามประเภทของสินค้า เช่น ตึกขายของฝากพวกขนม ของกิน ตึกของใช้สุภาพบุรุษ และตึกของใช้สุภาพสตรี มีการแบ่งสินค้าแต่ละหมวดหมู่ตามชั้นต่างๆ อย่างชัดเจน เช่น ชั้นเครื่องสำอาง ยาและวิตามิน เสื้อผ้า กระเป๋าและนาฬิกา เป้าหมายหลักๆของเราสองคนสำหรับตึกม่วงนี้เน้นของฝากเป็นหลักค่ะ เพื่อนติ๊ดกับแพร์ส่วนใหญ่ก็จะเน้นฝากซื้อพวกเครื่องสำอาง สกินแคร์ หนักไปทางมาส์กหน้า

ตึกม่วงหน้าตาประมาณนี้ ขอบคุณรูปจาก www.chillinjapan.com ค่ะ
ร้านนี้สามารถทำ tax refund ได้เหมือนกันค่ะถ้าซื้อตั้งแต่ 5000 เยนขึ้นไปถ้าจะไม่ผิดนะ คนละบิลรวมกันได้ แต่ต้องเป็นบิลจากภายในตึกเดียวกันเท่านั้น (เช่นถ้าจะทำตึกหญิง ไม่สามารถรวมบิลกับตึกชายเพื่อทำ tax refund ได้)

พอเรามาถึงกันก็เริ่มที่ตึกผู้หญิงก่อนเลย ดูพวกเครื่องสำอางและสกินแคร์ ที่เพื่อนติ๊ดฝากซื้อเป็นมาส์กของ Kose กับที่เช็ดเครื่องสำอาง Bifesta ของแพร์รู้สึกจะเยอะหน่อยเลยใช้เวลาตรงนี้พอสมควร เสร็จแล้วก็เดินมาที่ตึกขายขนม ของกิน มีของกินขายหลายรูปแบบมาก นี่ก็แบบเจออะไรก็หยิบใส่ๆตะกร้าเลย 5555 เห็นอะไรที่หน้าตาแปลกๆไม่มีในไทยก็หยิบๆ มา มีชาเขียวผงจากญี่ปุ่นติดมาถุงนึง ทาโร่ชีส ช็อกโกแลตไส้กล้วย อะไรประมาณนี้ แต่ก็รู้สึกว่าหยิบไม่ค่อยสะใจเพราะกลัวน้ำหนักเกิน

ตอนซื้อของออกอาการหงุดหงิดกันนิดหน่อย เพราะโดนสปอยมาพอสมควรทำให้กลัวเรื่องน้ำหนักของเกิน(มากเกินไป) ใครคิดว่าการช็อปปิ้งเป็นเรื่องสนุก สำหรับเราสองคนแล้วไม่เลยค่ะ เพราะต้องมาตามหาสินค้าที่มีคนฝากซื้อไว้ ไม่กล้าซื้อเยอะเพราะกลัวน้ำหนักเกิน เช็คราคากับร้านอื่นๆที่ผ่านมาว่าร้านไหนถูกกว่า แถมตอนซื้อของเสร็จนี่แบบหนักมาก

หลังจากซื้อของกันเสร็จอาการเหนื่อยสะสมจากสองวันแรกก็เริ่มออกค่ะ ปวกเมื่อยไปทั้งตัว เลยออกความเห็นว่าเรากลับไปเก็บของที่โรงแรมกันเลยดีกว่า นั่งพักที่ห้องซักพักค่อยออกมาเก็บตกชิบูย่ากับฮาราจูกุ แพร์ก็ตกลงตามนี้ เลยพากันหอบของฝากถุงโตนั่งรถไฟฟ้ากลับโรงแรม



กลับมาถึงโรงแรมก็มาขอตาชั่งกับเจ้าหน้าที่โรงแรมเพื่อชั่งน้ำหนักบรรดาของที่ซื้อมา จุดนี้เจ้าหน้าที่โรงแรมแอบทำหน้าสตั๊นพอเราขอตาชั่ง 55555 สรุปแล้วไอที่กลัวๆกันนี่สบายใจเลย เพราะเราเอาของโหลดไปทั้งหมดแค่ 7 กิโล (เหลืออีก 13 กิโลที่ซื้อได้) แต่ซื้อมาแค่ 2-3 โลเอง จะกลับไปซื้ออีกก็ไม่ไหวละ เพลีย ของแพร์ก็น้ำหนักไม่ต่างกัน พอชั่งเสร็จก็เอาของมาเก็บบนห้อง นั่งพักกันนิดหน่อย วางแผนเก็บตกของวันที่สองและตกลงเวลาที่จะใช้ในแต่ละชุดของฮาราจูกุและชิบูย่า เพื่อไม่ให้กลับดึกมากเหมือนวันที่สอง กลัววันสุดท้ายไปเดินอากิฮาบาระเพลิน แล้วกลับสนามบินไม่ทัน ตกเครื่อง อะไรงี้

สิ่งที่เราจะไปเก็บตกที่ฮาราจูกุและชิบูย่าก็คือ ไปซื้อเครื่องสำอางให้แม่ๆ ของพวกเราที่ร้านมัตสึโมโต้ ชิมเครปร้าน Angels Heart ที่วันก่อนไปกินผิดร้าน ซื้อทาร์ตชีสร้าน Pablo สุดฮิตแถวชิบูย่า ที่วันที่ 2 พอไปถึงร้านปิดซะก่อน ซื้อฟิล์มกล้องโพลารอยด์ที่เพื่อนเราฝากซื้อที่ร้าน Big Camera ในร้านชิบูย่า โดยตกลงกันว่าจะใช้เวลาในแต่ละร้านไม่เกินครึ่งชั่วโมง พอตกลงกันเรียบร้อยแล้วก็ออกเดินทางกันเลยยยย



เริ่มจากนั่งรถไฟฟ้ามาลงสถานีฮาราจูกุ เราเดินตรงดิ่งไปที่ร้านเครป Angels Heart ทันที ครั้งนี้สั่งเป็น Fresh Blueberry Cheesecake ราคา 560 เยน ส่วนของแพร์สั่งเป็นสตรอเบอร์รี่บานาน่าเหมือนเมื่อวาน หลังจากซื้อเครปเสร็จก็นั่งกินตรงเก้าอี้ข้างๆร้าน ยิ้มกรุ้มกริ่มเล็กน้อยที่สามารถแก้แค้น(ตัวเอง)ได้สำเร็จ 555555 แต่พอกินเข้าไปก็แอบรู้สึกผิดหวังนิดหน่อย เพราะตัวแป้งของร้านต้นตำรับนี้ ถึงจะนุ่มแต่หนามากกกกก ตัวครีมก็ไม่หวานอร่อยเหมือนของร้าน Angels Crepe แต่สิ่งที่ชอบคือไส้ค่ะ ไส้ชีสเค้กของร้านนี้คือเป็นชีสเค้กจริงๆ ไม่เป็นเยลลี่เด้งๆ ดูปลอมๆ เหมือนร้าน Angels Crepe และบลูเบอร์รี่ที่ได้คือเฟรชมากตามชื่อเค้าเลย ได้บลูเบอร์นี่เยอะมากแล้วก็สดมากๆ กินแล้วรู้สึกสดชื่นดี ของแพร์สั่งมาเป็นสตรอเบอร์รี่บานาน่าเหมือนกับที่สั่งร้านที่แล้ว ก็ให้ความเห็นเหมือนกันว่าแป้งเหนียว ครีมไม่หวานนุ่ม แถมแพร์บอกว่าไส้กล้วยของร้านที่ไปกินผิดเมื่อวานอร่อยกว่า ส่วนสตรอเบอร์รี่สดใช้ได้ กินแล้วสดชื่นดี

สรุปแล้วเครปร้าน Angels Heart นี้เหมาะสำหรับคนที่ชอบไส้คุณภาพดี และไม่ชอบครีมที่มีรสหวาน แต่ถ้าใครชอบครีมหวานๆ แป้งไม่หนามากแนะนำให้ลองของ Angels Crepe ดูค่ะ จริงๆร้านเครปในฮาราจูกุมีเกือบ 10 ร้านได้ กะว่าถ้าได้ไปครั้งหน้าจะลองของร้านอื่นๆดูด้วย
สำหรับเครปร้าน Angels Heart ร้านเครปเจ้าแรกของฮาราจูกุ ให้ 8/10 หักคะแนนที่แป้งเหนียวและหนา

Fresh Blueberry Cheese Cake ร้าน Angels Heart ราคา 560 เยน
Strawberry Banana ของแพร์ น่าจะประมาณ 580 เยน ไม่แน่ใจ

แถม !! สาวขายเครป คาวาอี้งะะะะ <3


พอกินเครปเจ้าแรกจนพอใจก็ไปแวะซื้อของฝาก พวกมาส์ก สกินแคร์ ซื้อแป้งพัฟให้แม่ที่มัตสิโมโต้กันก่อนจะเดินไปชิบูย่าต่อ ระหว่างทางก็เดินดูรองเท้าดูเสื้อผ้าไปพลางๆ ไปเจอรองเท้าคู่นึงที่ ABC mart ถูกใจมากก แต่ดันไม่มีไซส์ นี่ก็งอแงจะเอาแพร์เลยต้องพาไปเดินหาที่สาขาชิบูย่า สรุปก็ไม่เจอ เลยอดไปตามระเบียบ 55555 เรากินเครปกันเสร็จประมาณ 6 โมงครึ่ง พอไปถึงชิบูย่าก็ทุ่มกว่าแล้ว กว่าจะหาร้านรองเท้าเสร็จก็ทุ่มครึ่ง ระหว่างกำลังจะเดินไปซื้อทาร์ตชีสเจอร้านขายซีดีเพลงร้านใหญ่ จำชื่อร้านไม่ได้แฮะ เนื่องจากแพร์เป็นติ่งเกิร์ลเจนก็เลยแวะซื้อซ๊ดีอัลบั้มใหม่ซะหน่อย ซื้อเสร็จได้โปสเตอร์มาเป็นของแถมทำเอายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ 55555

พอซื้อซีดีเพลงกันเสร็จเราก็ไปซื้อฟิล์มกล้องโพลารอยด์ให้เพื่อน ซื้อแบบ 10 x 2 มา 2 กล่องราคา 2786 เยน ซึ่งถือว่าถูกกว่าที่ไทยหลายขุมมาก แอบไปดูราคากล้องฟูจิ X-A2 มา ราคาถูกกว่าไทยประมาณ 3-4 พันบาทได้ แต่ก็ไม่แน่ใจเรื่องประกันหรือว่าภาษาในเครื่องด้วย (ยังไงก็ไม่มีตังอยู่ดี เพราะฉะนั้นชั่งมัน เก็บตังซื้อได้ค่อยว่ากัน 5555)

ซื้อฟิล์มกล้องเรียบร้อยก็ได้เวลาตามหาทาร์ตชีสอันเลื่องลือของเราแล้ว ตอนไปซื้อประมาณ 2 ทุ่มแล้ว มีคนต่อคิวอยู่พอสมควร ประมาณ 7-8 คน เราเลือกไส้มาเป็นแบบ Medium ไม่เอา เยิ้มมาก กลัว 5555 ตอนแรกว่าจะชิมกันเลย แต่เนื่องจากชิ้นมันใหญ่มาก เรายังไม่ได้กินข้าวเย็นกัน แถมในกล่องไม่มีช้อนมาให้ด้วย ก็เลยกะเอาไว้กินเช้าวันต่อไป

ทาร์ตร้าน Pablo ยังไม่ได้แกะกินเอากล่องไปดูต่างหน้าก่อนละกัน

พอซื้อทาร์ตสมใจแล้วก็นั่งรถไฟฟ้ากลับโรงแรม มาเจอเรื่องไม่ประทับใจอีกอย่างนึง คือ พอเรากลับมาถึงสถานี Yotsuya-Sanchome แล้วก็หาร้านอาหารใกล้ๆ โรงแรมกิน ร้านส่วนมากจะไม่มีเมนูภาษาอังกฤษ พวกเราก็ไม่อยากเสี่ยงกันเพราะเราไม่เกินเนื้อกันทั้งคู่ แถมติ๊ดแพ้อาหารทะเลไม่กล้าสุ่มจิ้มๆเอา เดินหาอยู่ประมาณเกือบครึ่งชั่วโมงก็เจอร้านนึงบอกมีเมนูภาษาอังกฤษเลยรีบเข้าไปกัน พอเข้าไปนั่งในร้าน หยิบเมนูมากูก็แบบอ้าว มีแต่ภาษาญี่ปุ่นนี่นา เลยเรียกพนักงานขอเมนูภาษาอังกฤษเพระาคิดว่าคงมีเล่มแยก สรุปพนักงานก็บอกว่าไม่มีแบบหน้าตาเฉย นี่ก็งงเลย แอบโกรธนิดนึง โดนคนญี่ปุ่นหลอกจนได้ แต่ก็แบบชั่งมันเถอะ ก็จิ้มๆรูปเอาเหมือนเดิม ถามพนักงานเอาว่าเป็นเนื้อรึเปล่า

นอกจากจะโดนหลอกเรื่องเมนูแล้ว พอสั่งอาหารเสร็จ โต๊ะที่นั่งอยู่ใกล้ๆ มากินกันเป็นครอบครัวประมาณ 6-7 คนก็คุยกันเสียงดังมากกกก คืนแรกที่กินราเม็งก็เจอโต๊ะนึงคุยกันเสียงดัง เสียงดังแบบ ดังยิ่งกว่าคนไทยเวลาคุยกันในร้านอาหารเยอะ ซักพักได้กลิ่นบุหรี่ ควันโขมงทั่วร้านเลย สูบทั้งผู้ชายผู้หญิง จนเราคิดว่าจะบอกพนักงานดีมั้ยว่ากลิ่นมันรบกวน หันไปมองป้ายในร้าน เจอป้ายบอกห้ามสูบบุหรี่ก่อน 5 โมงเย็น (ตอนที่ไปนั่งกินกัน 3 ทุ่มกว่าแล้ว แสดงว่าสูบได้) คิดว่าคงเป็นเรื่องปกติของคนที่นี่ แต่เรากับแพร์รู้สึกไม่โอเคเลย โดยเฉพาะติ๊ดเองเป็นคนไม่ชอบเสียงดัง ชอบอยู่เงียบๆ และเราสองคนไม่ชอบกลิ่นบุหรี่มากๆ เลย เรียกว่าเป็นหนึ่งในสิ่งที่เราไม่ชอบเลยในญี่ปุ่น อาหารก็มาช้ามาก แถมพอมาถึงรสชาติไม่อร่อยด้วยเลยไม่ได้ถ่ายรูปเก็บไว้ สรุปแล้วร้านนี้ไม่โอเคเลย เสียดายที่จำชื่อร้านไม่ได้


- - - - - - - - - - -


สรุปแล้ววันที่ 3 นี้เราสนุกกันแค่ตอนเช้าที่ไปวัด แล้วก็ตอนไปเก็บตกที่ชิบูย่า - ฮาราจูกุเท่านั้น การช็อปปิ้งหรือว่าซื้อของฝากไม่ใช่เรื่องสนุกเลยสำหรับเราสองคน เพราะต้องตามหาของที่คนฝากต้องการ แถมยังต้องแบกของหนักๆ กลับโรงแรมด้วย

ก็เป็นอันจบทริปของวันนี้ค่ะ หวังว่าทุกคนจะสนุกไปกับเรานะคะ สำหรับทริปวันสุดท้ายของติ๊ดและแพร์ เราจะไปบุกร้านเซ็กส์ทอยย่านอากิฮาบาระ ต่อด้วยซื้อของฝากเพิ่มเติมที่ตึกดองกี้ ก่อนจะเดินทางกลับไทยค่ะ

เดี๋ยวจบจากทุกบล็อกแล้ว จะมีบล็อกสรุปค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในญี่ปุ่นให้ และรีวิวของใช้ที่ติ๊ดซื้อมาจากญี่ปุ่น รอติดตามกันนะคะ สามารถวิจารณ์ติชมบล็อกได้นะคะ แล้วพบกันใหม่ในบล็อกหน้าค่ะ ^u^

วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2558

แบ็กแพ็คเที่ยวเจแปนใสๆ ไม่ง้อทัวร์ วันที่ 2 บุกศาลเจ้าเมจิ ฮาราจูกุ และชิบูย่า

มาต่อจากบล็อกเมื่อวานค่ะ วันที่ 2 ของการเดินทาง เราตั้งใจจะไปบุกย่านชุินจูกุ ชิบูย่า และฮาราจูกุ รูปน้อยนิดนึงน้าาา เอาจริงๆรูปที่ถ่ายมาทั้งทริปส่วนมากมีแต่หน้าเรากับแพร์ 5555 พยายามดึงๆรูปที่เป็นสถานที่จากแพร์มา จริงๆแล้วรูปทั้งหมดที่ลงนี่มาจากกล้องไอโฟนแพร์ล้วนๆ ขอขอบพระคุณมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ 5555555 เดี๋ยวขอเก็บตกรูปจากวันแรกเพิ่มอีกซักนิดนึง แล้วเรามาต่อของวันที่ 2 กัน

*** ขอแก้ข้อมูลจากบล็อกเมื่อวานนิดนึงค่ะ โรงแรมที่เราพักกันอยู่แถว Yotsuya-Sanchome นะคะ ตอนเขียนบล็อกเมื่อวานจำผิด เผื่อเมื่อวานไปอ่านไปแล้วต้องขอโทษด้วยค่ะ >^< แล้วก็มีข้อมูลสถานีรถไฟบางส่วนที่พึ่งนึกออกเพิ่มเติม ซึ่งทั้งหมดนี้ตอนนี้แก้ไขในบล็อกของเมื่อวานแล้วค่ะ ***



ตัวอย่างบรรยากาศบน Rainbow Bridge แลนมาร์กของโอไดบะ

















หาดโอไดบะ ใกล้ๆสะพาน Rainbow Bridge
ซาลาเปาไส้พิซซ่าอันเลื่องลือ ราคา 110 เยน แต่ที่ในเน็ตเค้าว่ากันว่ากัดแล้วชีสยืดออกมานี่บอกเลยว่าโม้ ไม่ยืดขนาดนั้น แต่ถามอร่อยมั้ย อร่อยมากกกก! มาญี่ปุ่นต้องโดนค่ะ มันดีงามมาก
- - - - - - - - - -


มาค่ะ มาต่อของวันที่ 2 กัน เป้าหมายหลักของเรา 2 คนในวันนี้คือ กิน! ไปลองเครปชื่อดังย่านฮาราจูกุ  แวะซื้อของใช้ร้าน Ainz Tulpe และ มัตสึโมโต้ คิโยชิ ชิมข้าวแกงกะหรี่ CocoIchibanya ต้นตำรับจากญี่ปุ่น และตบท้ายด้วยทาร์ตชีส Pablo ย่านชิบูย่า ซื้อฟิล์มกล้องโพลารอยด์ที่(เพื่อนฝากซื้อ) แล้วก็แอบไปดูราคา Fuji X-A2 ว่าต่างจากไทยมากมั้ย อยากได้

เนื่องจากเมื่อวานแรดนานไปหน่อยกลับมาถึงที่พักดึก 555 ทำให้วันที่ 2 พากันตื่นสาย ประมาณสิบเอ็ดโมงได้มั้ง แถมแต่งหน้าแต่งตัวกันนานอีกต่างหาก ม้วนผมแบบจัดเต็มมาก แพร์ก็แต่งหน้าแบบหน้าแน่น ลิปแน่น ขนตาแบบปังมาก 55555 กว่าจะแต่งตัวกันเสร็จก็เที่ยงพอดี เรานั่งรถไฟฟ้าไปลงกันที่สถานีชินจูกุ แวะกินข้าวในสถานี ซึ่งรอบนี้เราเลือกเป็นร้านที่มีข้าวแกงกะหรี่ เป็นตู้กดเหมือนเดิมแต่มีแค่ชื่อเมนู ไม่มีรูปอาหารบอกเหมือนร้านที่ไปเมื่อวาน ต้องดูจากเมนูหน้าร้านเอา

คราวนี้ทำเป็นแล้ว ไม่บ้านนอกเหมือนเมื่อวาน 55555 พอเอาบัตรไปยื่นให้พ่อครัวเสร็จก็นั่งรอสวยๆ ได้ข้าวแกงกะหรี่มากินสมใจ ที่สั่งเป็นข้าวแกงกะหรี่หมูทงคัทสึ ราคา 770 เยน (รู้สึกว่าอาหารญี่ปุ่นปกติที่กินจะราคาประมาณนี้เกือบหมด) ได้มาเป็นเซ็ตค่ะ จะมีข้าวแกงกะหรี่ ซุปมิโซะ และสลัดผักมาให้ ช้อนใหญ่มากกก คิดว่าน่าจะสำหรับตักแกงกะหรี่กิน แล้วก็จะมีแก้วน้ำมาให้ค่ะ ให้กดน้ำชาดื่มฟรี

ข้าวแกงกะหรี่คือดีงามมากอะแก 55555 ต้องบอกก่อนว่าของโปรดติ๊ดอาหารญี่ปุ่น ที่โปรดปรานสุดๆ คือข้าวแกงกะหรี่นี่แหละ แต่ปกติเคยกินแต่ในไทยไง ทั้งใน Coco ยาโยอิ ฟูจิ ไม่เคยมากินของแท้ พอได้สัมผัสไปคำแรกนี่แบบปริ่มมากกกก น้ำแกงกะหรี่เข้มข้นสุดๆ คือข้นเลยอะ ไม่เหลวๆ เหมือนในไทย มีความเผ็ดนิดๆ พออร่อย สลัดผักก็ดูผักสดดีค่ะ ใช้ได้ แต่ซุปมิโซะแอบเค็มไปนิดง่ะ ไม่แน่ในว่าคนญี่ปุ่นนิยมทานเค็มกันรึเปล่าเพราะราเม็งที่กินคืนแรกก็รสออกเค็มๆ ทั้งราเม็งและมิโซะวันนี้เค็มในระดับที่ว่า กินเสร็จลิ้นชากันเลยทีเดียว ให้ 9.5/10 เลย(หักคะแนนตรงซุปมิโซะเค็ม) ใครสนใจมาลองกินดูนะ จำชื่อร้านไม่ได้แต่จำได้ว่าร้านอยู่แถวๆ ร้านขายดอกไม้ในสถานีชินจูกุ

หน้าตาเซ็ตอาหารที่ได้ก็ประมาณนี้ค่ะ น่ากินมากๆ

ซูมกันแบบชัดๆ ทงคัทสึกรอบๆ เน้นๆ ทรมานหัวใจคนหิวยามดึก 55555

พอเติมพลังกันเสร็จก็ออกเดินทางสู้ชินจูกุกันเล้ยยยยย และแล้วมหกรรมการหลงสถานีรถไฟฟ้าของเราก็เกิดขึ้น 5555 สถานีชินจูกุเป็นสถานีที่ค่อนข้างใหญ่ มีทางออกประมาณ 13 ทางถ้าจำไม่ผิด เรากับแพร์ก็แบบ เอาละทีนี้ แล้วตูจะออกทางไหน ในหนังสือไกด์บุ๊คไม่มีบอกด้วย เดินวนไปวนมาอยู่ในสถานีรถไฟอยู่ประมาณครึ่งชม.ได้ จนออกมาที่ประตู 3 ถ้าจำไม่ผิด แล้วก็หลงกันอีก หลงไปตรงไหนบ้างก็ไม่รู้ GPS ในมือถือแพร์ก็เกิดอาการมึนขึ้นมาดื้อๆ บอกทิศมั่วไปหมด ตอนกำลังหลงฝนก็ตกด้วย เรา 2 คนเลยกลับไปตั้งหลักที่สถานีกันก่อน ฝนตกอยู่พักนึงเลย เราก็รอจนฝนซาลงไปบ้าง ดูเวลาก็บ่าย 2 แล้วเลยตัดสินใจทิ้งย่านชินจูกุไปแล้วเดินไปฮาราจูกุเลย เดินไปเดินมาไปเข้าห้างอะไรก็ไม่รู้ ที่สำคัญคือกำลังมีคนประท้วงอยู่หน้าห้างด้วย แล้วเราก็ได้พบอีกสิ่งที่น่าแปลกใจและน่าประทับใจในญี่ปุ่น นั่นคือการประท้วงค่ะ ถึงแม้จะออกมาประท้วงรวมตัวกัน แต่กลุ่มผู้ชุมนุมเหล่านี้กลับยืนเข้าแถวกันเป็นระเบียบอยู่ตามริมถนนและแนวกำแพง ไม่มีมาเดินขวางทางเดินคนอื่นเลย ทำให้เรารู้สึกว่า ดีจังเลย ความคิดถึงคนอื่นของคุณญี่ปุ่นคงจะแทรกซึมอยู่ในกระแสเลือดไปละ ผู้ชุมนุมมีแต่ผู้สูงอายุทั้งนั้นเลย อยากรู้จังว่าเค้าประท้วงเรื่องอะไรกัน แต่อ่านป้ายภาษาญี่ปุ่นที่เค้าถือไม่ออก

กลุ่มผู้สูงอายุที่มาชุมนุมกันอยู่หน้าห้างวรรพสินค้าแห่งหนึ่งย่านชินจูกุที่เราเจอตอนเดินหลง

เดินตาม GPS ไปเรื่อยๆระหว่างทางไปฮาราจูกุ ระหว่างทางเดินก็เจอพวกร้านแบรนด์ต่างๆเซลล์ทั้งแบรนด์กระเป๋าของญี่ปุ่นและอื่นๆ เช่น Annasui และ Samanta Lega (อันนี้กระเป๋าน่ารักมากกกก!) เซลล์ 50-70% เล่นเอาเงินในกระเป๋าสั่นสะเทือน แต่ก็ไม่ได้ซื้ออะไรมา กะไปเหมาแถวฮาราจูกุ 5555

ผ่านย่านร้านค้าทางนั้นมาแล้วเดินไปเรื่อยๆ GPS เจ้ากรรมดันเกิดอาการงงขึ้นมาอีก ชี้ทิศทางวนไปวนมาจนต้องหยุดตั้งหลักอยู่แถวๆข้างทาง มีแผนที่อยู่ตรงนั้นพอดีเราก็ชี้ให้แพร์ดู ถามว่าฮาราจูกุมันไปทางไหน เห็นมีศาลเจ้าเมจิอยู่แถวนั้นด้วย ก็เลยเปลี่ยนแผนไปแวะเดินดูศาลเจ้าเมจิกันแบบไม่ได้ตั้งใจ พอได้เป้าหมายแล้วก็เดินต่อ ประมาณกิโลกว่าได้

ศาลเมจินี่ได้รับการขนานนามว่าเป็นปอดของโตเกียวเลยทีเดียวถ้าจำไม่ผิด ตอนแรกก็รู้ว่ามีเฉยๆอะ แต่ไม่รู้ว่ามันอยู่ในสวนสาธารณะด้วย (จำชื่อสวนไม่ได้) พอเรามาถึง ภาพแรกที่เห็นคือแบบนี้


หน้าทางเข้าสวนสาธารณะ (ทางเข้าไปศาลเจ้าเมจิ)

ความรู้สึกแรกคือแบบหื้มมมม นี่มันป่าชัดๆ สังเกตสเกลระหว่างคนกับต้นไม้ดีๆ มีแต่ต้นไม้ใหญ่รายล้อมเต็มไปหมด ด้านในบรรยากาศดีมากๆ ร่มรื่นสุดๆ ตอนไปถึงมีฝนตกปรอยๆเบาๆ แต่พออยู่ใต้ร่มไม้แล้ว ช่วยบังละอองฝนให้เราได้เยอะเลย อากาศเย็นสบาย หอมกลิ่นธรรมชาติ ชอบที่นี่มากๆเลย > < จริงๆแพร์ถ่ายวีดิโอไว้ด้วยนะ แต่ไม่รู้จะเอามาลงยังไง 5555


สองสาวระหว่างเดินเข้าศาลเจ้าไสยๆ เชื่อยังว่าแพร์จัดเต็ม 5555
ระหว่างทางเข้าไปจนถึงศาลเจ้านี่ไกลพอสมควรเลย แต่เราก็เน้นเดินกันแบบชิลๆ ไม่รีบร้อน เดินไปคุยไป แวะถ่ายรูปถ่ายวีโอบ้างสนุกสนาน ระหว่างทางก็แวะเข้าห้องน้ำด้วย แล้วก็พบว่าห้องน้ำสะอาดมากกก ประทับใจ เสียดายไม่มีที่ฉีดตูดเหมือนห้องน้ำตามในห้าง 55555

พอเข้าห้องน้ำเสร็จก็แวะถ่ายรูปกันหน้าห้องน้ำ ถ่ายระหว่างเดินบ้าง จนไปถึงทางเข้าศาลเจ้าเมจิ มีจุดให้ตักน้ำสำหรับบ้วนปากล้างมือก่อนเข้าศาลเจ้า ชำระร่างกายให้สะอาด เป็นความเชื่อของคนญี่ปุ่นค่ะ



ประตูหน้าศาลเจ้าเมจิ

บริเวณจุดสำหรับชำระร่างกายก่อนเข้าศาลเจ้า

ด้านในศาลเจ้าก็เหมือนกับรีวิวทั่วๆไปค่ะ คือจะมีจุดสำหรับขอพร เรากับแพร์ก็ไปขอพรโยนเหรียญกัน มีส่วนสำหรับขายของที่ระลึกพวกเครื่องรางและซื้อป้ายเครื่องรางสำหรับมาเขียนขอพร แต่อันนี้ไม่ได้ซื้อกัน เพราะเห็นตรงกันว่าราคา 500 เยนเก็บไว้ซื้อของกินดีกว่า (นังพวกเห็นแก่กิน 5555) บรรยากาศภายในไม่ได้ถ่ายเท่าไหร่ค่ะ มีบางส่วนที่ห้ามถ่ายรูปด้วย

ภายในศาลเจ้า ฝนตกพื้นเปียกนิดหน่อย แต่คนก็ยังมาเยอะ

ป้ายขอพรที่เรากับแพร์ไม่ได้เขียนกัน ขออนุญาตยืมรูปจาก http://www.emagtravel.com ค่ะ

พอออกจากศาลเจ้าเมจิมาก็เดินตามทางในสวนต่อไปเรื่อยๆ ตั้งใจจะไปทะลุทางออกอีกฝั่งเลยเพราะมันไปออกตรงฮาราจูกุพอดี ระหว่างทางออกก็มีส่วนที่เป็นศูนย์อาหาร และส่วนของร้านขายของฝากของที่ระลึก ภายในมีของกินของใช้ที่น่าสนใจเยอะ ทั้งขนม ของที่ระลึกเช่นเครื่องราง รองเท้ากิโมโน พัด ของเล่นญี่ปุ่นโบราณ ผลิตภัณฑ์เฉพาะ มีลิปมันกลิ่นน้ำผึ้ง กลิ่นซากุระด้วย เกือบซื้อมาละแต่เราว่ากลิ่นซากุระฉุนแปลกๆ 555 มาส์กหน้าลายคล้ายๆหน้าตัวละครในภาพวาดญี่ปุ่นโบราณ แต่ก็กลั้นใจกะว่าไปซื้อที่ตึกม่วงแถวอุเอโนะน่าจะถูกกว่า มีขนมอันนึงที่เจอแล้วยังแค้นไม่หายมาจนถึงทุกวันนี้ มันเป็นขนมอัลมอนด์เคลือบด้วยนม อร่อยมากกกก แต่คิดว่าที่นี่คงแพง ที่อื่นคงจะมีขายเหมือนกันแต่ถูกกว่า ก็เลยไม่ได้ซื้อมา สรุปไปที่ไหนก็ไม่เจอ เสียดายมาก มันอร่อยมาก



พอเดินดูของฝากของที่ระลึกจนพอใจ (ดูเฉยๆ จริงๆ ไม่ได้ซื้อซักอย่าง 55555) ก็เดินออกมาเรื่อยๆจนสุดทางจะเจอทางออก ออกมาแล้วจะมีสะพานลอยให้ข้ามไปฝั่งฮาราจูกุ ดูจากการแต่งตัวของคนอีกฝั่งแล้วรู้เลยว่าฝั่งที่เรากำลังจะข้ามไปคือฮาราจูกุแน่นอน มีแต่วัยรุ่นแต่งตัวแบบแตกต่างจากย่านอื่นๆ นอกจากนั้นสิ่งแรกที่ได้สัมผัสที่ฮาราจูกุคือ กลิ่นบุหรี่ค่ะ อะเฮื้อออ ข้ามสะพานลอยเสร็จข้ามถนนมาป๊ะกับจุดสำหรับสูบบุหรี่พอดี กลิ่นนี่หึ่งมาเลย แถวๆ Garrett popcorn คนต่อแถวเยอะเหมือนกัน ต่อกันแบบข้ามถนนเลยทีเดียว แต่ก็ยังเว้นส่วนถนนไว้ไม่ให้ขวางทางรถโดยมีพนักงานของร้านการ์เร็ตคอยจัดการแถวให้ลูกค้า ถ้ามองจากด้านหน้าร้าน Garrett มาทางขวามือจะเห็นร้าน Ainz Tulpe มาแต่ไกลไม่รอช้า วิ่งพุ่งเข้าใส่กันทันที

หน้าตาร้าน Ainz Tulpe ยืมรูปมาจาก http://www.goodlucktripjapan.jp/ ค่ะ

มาถึงร้าน Ainz ภายในก็จะมีขายพวกยา เครื่องสำอาง สกินแคร์ต่างๆ น้ำยาย้อมผม คอนแทกเลนส์นี่มีเยอะมาก (ลายน่ารักกว่าที่เห็นในไทยอีก อยากได้ T3T แบบรายเดือนราคาคู่ละประมาณ 300 บาท) ที่สำคัญคือน้ำหอม แพร์บอกว่าเป็นร้านที่น้ำหอมราคาถูกที่สุดในญี่ปุ่น ก็เลยกะว่าจะสอยติดไม้ติดมือกลับไปซักขวด

เดินไปเดินมา หาของฝากของเพื่อนแพร์ ดูน้ำหอม เดินเล่นเทสเตอร์ทุกอันที่เค้ามีให้เทสฟรีกันสนุกสนาน 5555 ชอบรองพื้นอันนึงมีกันแดดด้วย แต่ที่แปลกคือมันเป็นสเปรย์อะ พอฉีดแล้วเป็นฟองเย็นๆ ถูเล่นกันสนุกสนาน ตื่นเต้น 5555 แพร์จะซื้อกลับด้วยแต่กลัวเค้าไม่ให้เอาขึ้นเครื่องบินเลยอดไปตามระเบียบ ที่นี่ซื้อเครื่องสำอางกับสกินแคร์กันแค่นิดเดียว เผื่อไปเจอที่มัตสึโมโต้หรือตึกม่วงถูกกว่าอะไรงี้ หลักๆแล้วก็คือได้น้ำหอมมากันคนละขวด ถ้าซื้อถึง 5,000 เยน ทำ Tax free ได้ด้วยนะ เรากับแพร์ซื้อรวมกัน 5,000 นิดๆพอดีก็เลยทำ tax free ไปเลย

เสร็จภารกิจจาก Ainz แล้วก็เดินไปตามถนนใหญ่เรื่อยๆ มีแต่ร้านของแบรนด์เนมตลอดสองข้างทาง ไม่ได้ซื้ออะไรกันเลย เน้นเดินดูสวยๆ 5555 สักพักก็นึกขึ้นมาได้กันว่า เรายังไม่ได้กินเครปกันเลยนี่หว่า เลยเปิด GPS นำทางเหมือนเดิมตามสเต็ป ต้องเดินไปที่ถนนทาเคชิตะ โดยต้องเดินย้อนกลับมานิดหน่อยแล้วเลี้ยวเข้าไปอีกซอย เดินตรงไปเรื่อยๆเจอร้านขายนาฬิกาแบรนด์เนมราคาถูกกว่าในไทย แพร์แวะซื้อนาฬิกาให้น้องแล้วก็เดินต่อ มาถึงทางแยก GPS เกิดอาการงงขึ้นมาอีกเลยต้องสุ่มเดินซักแยก ปรากฏว่าเดินไปเดินมาวนกลับมาที่จุดเดิมตรงถนนใหญ่ที่มีร้านแบรนด์เนมเยอะๆ 5555 เลยต้องเดินย้อนกลับไปอีก แล้วไปออกทางอีกแยกแทนกว่าจะถึงถนนทาเคชิตะ

มาถึงถนนทาเคชิตะประมาณ 5 โมงกว่าๆ ภารกิจตามหาเครปของเราก็เริ่มขึ้น ตามทางมีเสื้อผ้ารองเท้าน่ารักๆสไตล์วัยรุ่นญี่ปุ่น ที่บอกแบบนี้เพราะว่ามันไม่น่าจะเอามาใส่ในไทยได้อะ 555 ส่วนตัวแล้วติ๊ดคิดว่าแฟชั่นในญี่ปุ่นค่อนข้างแปลก อย่างเดรสก็เต็มไปด้วยระบาย มีลายพิมพ์น่ารักเกินกว่าวัยรุ่นไทยจะกล้าใส่ รองเท้าส้นตึกสูงมากกว่า 4นิ้วอะไรประมาณนี้ แต่ที่เราชอบคือพวกรองเท้าสไตล์รองเท้าพรีออเดอร์จากจีนอะ คือตัวหนังกับพื้นนิ่มมาก วัสดุดูจะดีกว่าที่ขายในไทย ราคาก็ประมาณ 1,000 บาท ถือว่าไม่แพงกับวัสดุคุณภาพนี้นะ เสียดายมากไปเจอรองเท้าที่ถูกใจแต่ไม่มีไซส์

เดินผ่านร้านเสื้อมาหลายร้านแล้ว ผ่านร้านเครปมาประมาณ 2-3 ร้าน แต่ก็ไม่ได้ซื้อเพราะ เราตั้งใจไปกินที่ร้าน Angels Heart ร้านเครปร้านแรกในฮาราจูกุ เดินไปซักพัก 6 โมงเย็นแล้ว เริ่มเกิดอาการหิว ช่วยกันมองหาร้าน จนในที่สุดก็เห็นป้ายคำว่า Angel เราสองคนจึงรีบพุ่งเข้าไปด้วยความหิวระดับแปดสิบ ต่อแถวซื้อเครปด้วยความตื่นเต้น ติ๊ดสั่งมาเป็นไส้ช็อกโกบานาน่าชีสเค้กประมาณนี้มั้งจำไม่ได้ 5555 ซื้อมาในราคา 500 เยน ถ่ายรูปเครปก่อนกินพอเป็นพิธี หาที่นั่งกินใกล้ๆร้าน รู้สึกผิดหวังนิดหน่อยเพราะไม่เป็นอย่างที่หวังไว้ ก็คุยกับแพร์ว่าแอบผิดหวัง นึกว่าจะว้าวกว่านี้ กินเสร็จประมาณ 6 โมงเย็นก็ตกลงกันว่าจะเดินไปดูร้านมัตสึโมโต้ เสร็จแล้วจะไปชิบูย่าต่อ สรุป เดินผ่านไปแค่ล็อกเดียว เจอร้าน Angels Heart ตั้งโด่เด่อยู่ หันกลับมาชำเลืองมองร้านเครปที่เราซื้อกันตะกี๊ ปรากฏว่ามันชื่อร้าน Angels Crepe ความรู้สึกแบบ โกรธอะ โกรธมาก ไม่ได้โกรธร้านนั้นนะ โกรธตัวเองเนี่ยแหละ 5555 คือหิวกันมากพอเห็นคำว่า Angel ก็พุ่งใส่ไม่ได้ดูกันเล้ยยยย กินผิดร้านซะงั้น T3T จากความผิดพลาดก่อเกิดเป็นความแค้นตั้งใจว่าวันที่ 3 ต้องกลับมากินร้าน Angels Heart ให้ได้

แต่ไหนๆก็กินผิดร้านไปแล้ว ขอรีวิวเครปร้าน Angels Crepe ที่เรากินด้วยเลยละกัน
เราว่าช็อกโกแลตที่ราดข้างบนแปลกๆอะ 5555 แต่แป้งกำลังโอเคไม่หนาเกินไป นุ่มกำลังดี ครีมด้านในหวานนุ่มละมุนลิ้นมาก อร่อย กล้วยก็ใช้ได้นะ รู้สึกจะเป็นกล้วยหอม กลิ่นหอมอ่อนๆ ชีสเค้กชิ้นเล็กมากกกตามรูป แล้วก็เนื้อตัวชีสออกเยลลี่หน่อยๆอะ ไม่ค่อยประทับใจในสวนชีสเค้ก แต่ส่วนอื่นถือว่าโอเคเลย ให้ 7/10

เครปเย็นร้าน Angels Crepe ไส้ช็อคโกบานาน่าชีสเค้ก ราคา 500 เยน

สองสาวหน้าตาแป้นแล้น ก่อนจะรู้ตัวว่ากินเครปผิดร้าน 55555

หลังจากโกรธตัวเองกันเสร็จเรียบร้อยก็เดินไปแวะดูร้านมัตสึโมโต้ แพร์ซื้อเครื่องสำอาง สกินแคร์ไปฝากที่บ้าน ฝากเพื่อน เราเองได้ขนตาปลอมของ Dolly Wink มากล่องนึง (1 กล่อง มี 2 คู่) ซื้อมาคนละกล่องกับแพร์ ขนตาบนกับล่างอย่างละกล่อง แล้วเอามาสลับกันคู่นึง เราทั้ง 2 คนก็จะได้ขนตาปลอมบนและล่างเซ็ตนึงพอดี ออกมาจากมัตสึโมโต้ก็ไปเดินเล่นในไดโซ ซื้อที่ติดกันรองเท้ากัดมาคู่นึง เสร็จแล้วก็ไปชิบูย่ากันต่อ



เราใช้เวลากันในมัตสิโมโต้และไดโซประมาณเกือบชั่วโมง หลังจากนั้นก็ขึ้นรถไฟฟ้าจากสถานีฮาราจูกุไปชิบูย่ากันต่อ จนในที่สุดเราก็มาถึงย่านชิบูย่าตอนประมาณ 3 ทุ่มแล้ว มาถึงก็หิวมาก ปวดฉี่ด้วยเลยวิ่งหาห้องน้ำ แต่ห้างแถวๆนั้นก็เริ่มปิดกันหมดแล้ว เดินไปเดินมาเจอร้าน CocoIchibanya พอดีก็เลยจัดเลย หน้าร้านบอกว่ามีเมนูภาษาไทยด้วย แต่เข้ามาไม่ยักกะมี ไม่แน่ใจว่าต้องขอเค้าแยกรึเปล่า แต่มีเมนูภาษาอังกฤษก็เลยสบายไป เข้ามาในร้านรอคิวประมาณ 15 นาทีก็ได้ที่นั่ง โชคดีที่ในร้านมีห้องน้ำพอดี สั่งเมนูไว้แล้วก็เข้าห้องน้ำสบายใจ ถอดคอนแทกเลนส์ออกด้วยเพราะเริ่มแสบตาแล้ว ใส่มาทั้งวัน

รอประมาณ 10 นาทีข้าวแกงกะหรี่ผักรวมเพิ่มผักโขมของเราก็มาเสิร์ฟ กลิ่นหอมยั่วน้ำลายมากกกก ผักน่ากิน น้ำซอสแกงกะหรี่เข้มข้นไม่ต่างจากร้านที่กินแถวสถานีชินจูกุ ที่สำคัญคือให้ผักมาเยอะจุใจสุดๆ ติ๊ดสั่งเป็นแบบลดข้าว ความเผ็ดระดับ 2 เหมือนที่สั่งในไทยเป๊ะๆ เลยได้ข้าวแกงกะหรี่จานนี้มาในราคา 837 เยน แต่รู้สึกจำนวนข้าวที่เค้าให้มาจะเยอะกว่าของไทย ถึงสั่งลดแล้วก็ยังได้เยอะกว่า (คิดว่าเป็นเรื่องปกติของญี่ปุ่นเพราะคนญี่ปุ่นกินเยอะมากแต่ละมื้อ)

ข้าวแกงกะหรี่ผักรวมเพิ่มผักโขม ลดข้าว จาก CocoIchibanya ราคา 837 เยน 

หลังจากกินเสร็จเริ่มเหนื่อยกันแล้ว เพราะเดินเยอะมาก เดินมาร้านทาร์ตที่อยู่ใกล้ๆ ร้านก็ปิดแล้ว ร้านอื่นๆแถวนั้นก็เริ่มพากันปิด ก็เลยพากันกลับ รู้สึกว่ายังเดินไม่ทั่วเลยทั้งฮาราจูกุและชิบูย่า เลยกะว่าเดี๋ยวค่อยมาซื้อทาร์ตกับซื้อฟิล์มกล้องที่เพื่อนฝาก รวมถึงเก็บตกส่วนอื่นๆที่พลาดวันนี้ในวันต่อไป



ตอนกลับเหมือนทุกอย่างจะแฮปปี้เอนดิ้งแล้วสำหรับทริปวันที่ 2 นี้ แต่แล้วความซวยก็บังเกิดเรื่องให้เสียตังฟรีๆอีก 170 เยน เรื่องเกิดตอนเราซื้อตั๋วจะกลับไปที่สถานี Yotsuya-Sanchome จำไม่ได้ว่าต้องไปที่รถไฟสายไหน แต่เรากับแพร์ดันเสียบตั๋วเข้าไปผิดสาย ออกก็ไม่ได้ด้วยเพราะต้องเสียตังเพิ่มแน่นอน ตอนรู้ตัวว่ามาผิดสายก็ลุกลี้ลุกลนละ คิดว่าเสียตังแน่นอนแต่ก็ยังพยายามจะหาทางที่ไม่ต้องเสียตังเพิ่ม หันไปใกล้ๆจุดที่เสียบตั๋วเห็นห้อง Question & Answer พอดี ด้านในมีเจ้าหน้าที่อยู่ น่าจะเป็นห้องสำหรับแจ้งเรื่องต่างๆเลยลองเข้าไปถามดูเป็นภาษาอังกฤษประมาณว่า "คือเราจะไป Yotsuya-Sanchome น่ะค่ะ แต่ว่าเข้ามาผิดสาย ต้องทำยังไงบ้างคะ" ถามเสร็จเจ้าหน้าที่ก็ไม่พูดอะไร แค่ขอตั๋วที่เราซื้อ เสร็จแล้วก็ยืดไป กดเปิดประตูห้องทางออกไปที่จุดซื้อตั๋วใหม่ แล้วก็ชี้ไปที่ประตู พูดแค่ "เชิญ" เรา 2 คนที่แบบสตั๊นเลยจ้าาาา แต่ก็ต้องเดินออกไปซื้อตั๋วใหม่

แอบโกรธนิดนึง ไม่ได้โกรธที่ต้องเสียตังซื้อตั๋วใหม่นะแต่โกรธเจ้าหน้าที่อะ เพราะตั้งแต่มาวันแรกเจอแต่คนญี่ปุ่นที่ให้การต้อนรับดีตลอด พูดจาสุภาพ พยายามให้ความช่วยเหลือ มีแต่เจ้าหน้าที่ตรงนี้นี่แหละที่รู้สึกว่าหยาบคาย  คือแบบ บอกซักนิดก็ได้ว่า ไม่ได้นะครับ ต้องออกไปซื้อตั๋วใหม่ อะไรงี้ นี่แบบยึดตั๋ว เปิดประตูให้ แล้วไล่ออกเฉย ถือเป็นความไม่ประทับใจครั้งแรกที่ญี่ปุ่น



กลับมาถึงโรงแรมตอนประมาณ 5 ทุ่ม พอกลับมาถึงก็สลับกันแช่น้ำอุ่นในห้องพักให้พอหายเมื่อย พูดคุยกันนิดหน่อย ก่อนพากันเข้านอนประมาณเที่ยงคืน เตรียมลุยทริปวันต่อไป มีลางสังหรณ์ว่าต้องตื่นสายอีกแน่ๆ 5555 ก็เป็นอันจบสำหรับทริปวันที่ 2 นี้ค่ะ ขอบคุณที่อ่านจนจบนะคะ


- - - - - - - - - -

ส่วนของในวันที่ 3 และ 4 คิดว่าน่าจะไม่ยาวเท่า 2 วันแรกแล้ว เพราะจะไปหนักตรงซื้อของฝากมากกว่า มีไปแวะวัดเซนโซจิแถวอะซากุสะ แล้วก็แวะร้านเซ็กส์ช็อปย่านอะกิฮาบาระ รอติดตามกันนะคะ

สามารถวิจารณ์ คอมเม้นติชมได้ค่ะ ขอบคุณที่อ่านจนจบอีกครั้งนะคะ แล้วพบกันใหม่ในบล็อกหน้าค่ะ ^u^